สรุป 17 ข้อคิด ใช้ชีวิตแบบมีสติ
จากหนังสือ Live in Peace ไม่เป็นบ้าไปกับโลก
.
.
1. ในโลกวัตถุนิยมที่เราต่างมีความต้องการเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
ความสุขอาจไม่ได้หาได้จากการที่เรารวยขึ้น มีมากขึ้น ได้เลื่อนตำแหน่ง ถูกล็อกเตอรี่ หรือเจอรักแท้
แต่ความสุขอาจเกิดจาก “ความรู้สึกพึงพอใจ” ลึก ๆ ภายในใจเรา
ซึ่งเกิดจากการหลั่งสารเคมีภายในร่างกาย ทั้งโดพามีน เซราโทนิน และออกซิโตซิน
.
การควบคุมให้ร่างกายหลั่งสารเคมีเหล่านี้ออกมาอย่างสม่ำเสมอจึงเป็นเรื่องสำคัญ
แต่ในโลกที่แปรเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ความสับสนอลหม่านจากสถานการณ์ต่าง ๆ ทำให้การควบคุมเป็นเรื่องยาก
สุดท้ายแล้ว เราทุกคนจึงต้องมองหา “ความสงบ”
ซึ่งอาจเป็นสิ่งเดียวกันกับ“ความรู้สึกพึงพอใจ” และที่สำคัญคือเราฝึกทักษะนี้ได้
.
.
2. เราอาจเหนื่อยกับการวิ่งตาม “สถิติ” ที่ตัวเองอยากสร้างมากเกินไป
เราวัดคุณค่าของตัวเองผ่านเป้าหมายมากมายที่ตั้งไว้
ไม่ว่าจะเป็น การวิ่งให้ได้วันละ 10 km การควบคุมปริมาณการกินในแต่ละวัน การโพสต์ภาพอวดลงโซเชียลเพื่อเรียกยอดไลค์
ถ้าวันไหนเราทำได้ดี ร่างกายก็จะหลั่งโดพามีนออกมา แล้วเราก็จะรู้สึกพึงพอใจ
แต่ถ้าวันไหนทำได้ไม่ครบตามเป้า เราก็จะรู้สึกกับตัวเอง
สุดท้ายแล้วเราเองเป็นคนที่ “วัด” และ “ตัดสิน” ตัวเองอยู่ตลอดเวลา
.
วิธีแก้จากอาการเสพติดเหล่านี้คือ เราต้องไม่ยึดติดกับ “เป้าหมาย” แต่เปลี่ยนมาอยู่กับ “หลักการ” ของสิ่งที่ทำ
โดยสิ่งเหล่านั้นต้องทำให้เกิดความสุขในระยะยาว
เช่น ถ้าวันไหนวิ่งไม่ได้ครบ 10 km ก็ไม่เป็นไร วิ่งแค่ 3 km บ้าง 5 km บ้างก็ได้
ขอให้มีความสม่ำเสมอ และทำให้เรามีสุขภาพที่ดีในระยะยาว
และที่สำคัญคือเราไม่จำเป็นต้องโพสต์โอ้อวดให้ใครรู้ ตัวเราเองที่รู้ก็เพียงพอ
ไม่แน่ว่าเราอาจได้พบความสุขที่เย็นใจมากกว่าความตื่นเต้นจากยอดไลค์ที่ได้ในโพสต์ก็เป็นได้
.
.
3. เราอาจถูกกระตุ้นให้โยกตู้สล็อตแมชชีน อยู่ตลอดเวลา
มนุษย์เรามีความเป็นนักพนันอยู่ในตัว การเล่นพนันก็เพราะว่าเรามีความตื่นเต้นที่อาจได้เงินมากในครั้งนี้ และอาจได้น้อยในครั้งอื่น
แต่เรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับแค่ตู้สล็อตแมชชีน
การโพสต์รูปลงโซเชียลเพื่อหวังไลค์และแชร์ รวมถึงผู้ติดตามต่าง ๆ ก็ใช้หลักการเสพติดแบบเดียวกัน
เพราะมันมีการกระตุ้นให้เราคิดว่า รูปที่เราลงไปอาจได้ไลค์เยอะ
ถ้ายังไม่ได้ ก็ต้องลงรูปอื่นอีก
แต่ถ้าได้แล้ว ก็อยากได้รับความรู้สึกนั้นอีก ก็ยังต้องลงอีกอยู่ดี
.
การเล่น IG ก็ไม่ต่างอะไรกัน เพราะมนุษย์ถูกกระตุ้นจากการเปรียบเทียบกับคนอื่นอยู่ตลอดเวลา
แต่สิ่งเหล่านี้สุดท้ายแล้วก็อาจไม่ช่วยเติมเต็มหัวใจเราได้
เหมือนหลายคนที่แม้จะมีคนติดตามกว่าหลักหมื่นแล้ว เราก็ยังรู้สึกเปลี่ยวเหงาที่หัวใจอยู่ดี
.
.
4. ความกลัวของคนเราไม่ได้มีเพียงแค่ FOMO แต่ยังมี FOBO (โฟโบ) อีกด้วย
FOMO = Fear of Missing Out
FOBO = Fear of a Better Option
ความกลัวประเภทนี้คือการกลัวว่าเราจะไม่ได้สิ่งที่ดีที่สุดจากการตัดสินใจของเรา
และหลายครั้งมันทำให้เราหยุดชะงัก ไม่กล้าตัดสินใจ
เช่น การเลือกหนังใน Netflix ที่หลายคนเสียเวลาเป็นชั่วโมง
.
เรื่องนี้ดูเหมือนจะเกิดขึ้นเพราะมนุษย์ล้วนเสพติดความสมบูรณ์แบบ
อยากได้ Option ที่ดีที่สุด สุดท้ายก็เลยกลายเป็นคนลังเล ตัดสินใจอะไรไม่ขาด
.
แต่จริง ๆ แล้วลึก ๆ มันอาจเกิดจากการที่เราไม่รู้ว่า “ตัวเองต้องการอะไรจริง ๆ”
เพราะถ้าเรารู้แล้ว เราก็จะเลือกในสิ่งทีเป็นตัวเองที่สุด และตัดสิ่งที่เหลือออกไปได้
ถ้าเป็นแบบนั้น ทางที่ไม่ได้เลือกก็ไม่ได้น่าเสียดายอะไร
.
.
5. แกะสลักสิ่งที่ไม่ใช่ออกไปจากชีวิต
บทเรียนหนึ่งในการตามหาจิตใจที่สงบ คือเราต้องเริ่มจากการแกะสิ่งที่ไม่ใช่ออกไปจากชีวิต
ชีวิตที่มีอะไรยุ่งเหยิงไปหมด การ “ลด” จึงกลายเป็นสิ่งสำคัญ
.
เราต้องรู้จัก “เลือกมี” และ “เลือกเป็น”
เลือกมีเฉพาะในสิ่งที่เราอยากมี
และเลือกเป็นในบทบาทที่เหมาะกับเราจริง ๆ
การเลือกยังรวมไปถึง “เลือกคบ” และให้เวลากับคนที่สำคัญกับเราจริง ๆ
.
หลักการนี้คือ การทำให้ชีวิตมีน้อย แต่ได้มาก
คือ เน้นการเสพคุณภาพและดื่มด่ำไปกับรสชาติที่เข้มข้นหอมลึก มากกว่าชีวิตที่มีแต่ปริมาณ
.
.
6. ปกป้องเวลาไว้สำหรับสิ่งสำคัญ
เมื่อเราตัดส่วนเกินของชีวิตออกไปแล้ว
เรายังต้องจัดสรรเวลาให้กับสิ่งที่เหลืออยู่อย่างพอเหมาะ
วิธีหนึ่งที่เราต้องทำคือ การปกป้องเวลาช่วงเวลาไว้สำหรับสิ่งที่สำคัญจริง ๆ อาจจัดเป็นช่วงเวลาหนึ่งในทุกสัปดาห์
ไม่ว่าจะเป็น การใช้เวลากับครอบครัว การพักผ่อน หรือเวลาในการพัฒนาตัวเอง
.
.
7. เพราะโลกนี้ทำให้เกิดโรคต่าง ๆ มากมาย
การที่โลกหมุนเร็ว ก็ทำให้เราต้องเร่งความเร็วของตัวเอง ทนอยู่เฉยไม่ได้ อยากจะประสบความสำเร็จเร็ว ๆ
สุดท้ายก็อาจต้อเผชิญกับภาวะ burnout และปัญหาสุขภาพจิต
.
นอกจากนี้สภาพการณ์ต่าง ๆ ทั้งจากเรื่องรถติด โรคระบาด มลพิษ รวมถึงสภาพเศรษฐกิจ ทำให้คนเราวิตกกังวลกันมากขึ้น และมีความเครียดที่เพิ่มมากขึ้น
มันชวนให้เรากลับมาอยู่ในโหมดสู้หรือหนีอยู่ตลอดเวลา
.
นอกจากนี้แล้ว เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่โยนความทุกข์มาให้ อาจเปรียบเหมือน “ลูกดอกลูกที่หนึ่ง” ที่ปามาปักอกเรา
แต่สิ่งสำคัญกว่า คือเราเองต่างหากที่เป็นคนปัก “ลูกดอกลูกที่สอง” เข้าหาตัวเองซ้ำลงไป
มันคือความรู้สึก โกรธ ผิดหวัง ทุกข์ วิตกกังวล
หลายคนจึงแทบจะเป็นบ้าไปกับการใช้ชีวิตในโลกใบนี้
.
.
8. ลองถอนตัวออกจากโลก
สุดท้ายแล้วเราต้องหาวิธีที่จะไม่จมปลักไปกับโลกที่กำลังเป็นบ้าใบนี้
เราต้องมีวิธีถอนตัวออกมาจากโลก
วิธีหนึ่งที่ทำได้คือ การฝึกทำสมาธิ
ลองอยู่กับตัวเอง จำกัดและคัดสรร input
ลองจัดหาสถานที่และเวลาที่สงบในการพักผ่อนจิตใจ
เพราะในบ้านที่สงบ เราจะรู้สึกปลอดภัย คลายความกังวล
.
.
9. ลองฝึกเป็นผู้สังเกตการณ์
ลองฝึกมีสมาธิ สังเกตการณ์สิ่งต่าง ๆ ตามแบบที่มันเป็น ไม่ต้องตัดสิน
ไม่ต้องใส่ความรู้สึกเข้าไป ไม่ต้องมีบวกลบ
ปล่อยให้โลกเป็นไปในแบบของมัน
.
.
10. ลงจากเวทีการแสดง
เราควรลองหา “ห้องส่วนตัว” ที่เราสามารถอยู่ได้ตามลำพัง
ไม่ว่าจะเป็น บ้านของเรา ที่ชายหาด ทะเล บ้านพักตากอากาศ หรือที่ไหนก็แล้วแต่
ลองอยู่กับตัวเอง โดยไม่ต้องสนใจคนอื่นดู
ไม่ต้องสนว่าคนอื่นจะคิดยังไงกับเรา ไม่ต้องสนใจจำนวนไลค์ในโซเชียลมีเดีย
ลงจากเวทีการแสดงต่อหน้าคนอื่นบ้าง
สุดท้ายแล้วส่งที่คนเราขาดไปในโลกปัจจุบันอาจเป็น ความรู้สึกตระหนักถึงคุณค่าของตัวเอง โดยไม่ต้องรอให้คนอื่นมายืนยัน
.
.
11. ฝึกอยู่กับปัจจุบัน ตรงนี้ เดี๋ยวนี้
นิสัยหนึ่งที่เราควรฝึกคือ การฝึกสติให้อยู่กับปัจจุบัน
พักผ่อนอยู่กับตัวเอง และสิ่งที่อยู่ตรงหน้าให้เต็มที่
หยุดวิ่งหนีอดีต และหยุดวิ่งไล่ตามอนาคต
.
ลองฝึกสติให้รับรู้ความรู้สึกต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นอย่างตรงไปตรงมา
สังเกตความคิด ความรู้สึก อารมณ์ อคติต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในใจ
สมองของเราอาจค่อย ๆ เปลี่ยน และค่อย ๆ รับรู้ประสบการณ์ตรงหน้าได้ดีขึ้น
.
.
12. ฝึกจดจ่อทุกวัน
ฝึกฝนร่างกายและจิตใจให้จดจ่ออยู่กับลมหายใจ คนที่คุยด้วยตรงหน้า งานที่ทำตรงหน้า หรือธรรมชาติที่กำลังมองอยู่
อาจลองตั้งชื่อให้ความรู้สึกที่เกิดขึ้นดู
ถ้าเราโกรธ กังวล เป็นทุกข์ เราก็จะรู้ตัวมากขึ้น
วิธีนี้จะทำให้เรามีสมาธิ และลดการเข้าสู่โหมดสู้หรือหนี
และทำให้เรารู้สึกว่าโลกปลอดภัยมากขึ้น
.
การฝึกจดจ่อนั้นอาจทำควบคู่กันไปกับการฝึกนั่งสมาธิวันละ 2 นาที
เป็นการฝึกอยู่กับตัวเอง ให้เกิดความมั่นคงภายใน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นข้างนอกก็ตาม
.
.
13. ปรับมุมมองความสุขว่าไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งที่ไขว่ขว้ามา แต่เป็นสิ่งที่เราต้องอ้าแขนรับ
ถ้าเราเปลี่ยนมุมมองตรงนี้ เงินทอง ชื่อเสียง เกียรติยศ หรือแม้แต่ความรัก จะกลายเป็นแค่สิ่งที่เราอยากได้เพียงระดับหนึ่ง
แต่ความสุขที่เกิดขึ้น จะอยู่ในใจของเราเอง
และเรายังถ่ายทอดความสุขนี้ไปให้คนอื่นได้อีกด้วย
.
.
14. หาวันใดวันหนึ่งประจำสัปดาห์มาเป็น “วันแห่งสติ”
ซึ่งจะเป็นวันที่เราจดจ่ออยู่กับตัวเอง
ทำทุกสิ่งตรงหน้าอย่างมีสติ ตั้งแต่อยู่บนที่นอน ลุกขึ้นมาแปรงฟันอาบน้ำ ไปกินข้าว ทำกิจกรรมต่าง ๆ
วันนี้จะเป็นวันที่เราอยู่กับความเงียบ อยู่กับตัวเอง ไม่มีสิ่งรบกวน
เราอาจได้พบกับความสงบเย็นภายในใจ
และรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวไปกับทุกกิจกรรมที่ทำตรงหน้า
.
.
15. 5 ขั้นตอนในการตอบสนองต่ออารมณ์ลบ
ขั้นที่ 1: หยุด – สงบสบยเคลื่อนไหว
ขั้นที่ 2: จดจ่อไปที่ลมหายใจ หายใจลึก ๆ เพื่อให้ร่างกายสงบ
ขั้นที่ 3: สังเกต จดจ่อที่ร่างกายตัวเองและสังเกตอารมณ์ที่กำลังเกิดขึ้น เช่น “ฉันรับรู้ถึงอารมณ์โกรธในตัวฉัน”
ขั้นที่ 4: ไตร่ตรอง คิดหาเหตุผล และพยายามทำความเข้าใจสถานการณ์
ขั้นที่ 5: ตอบสนอง หลังจากไตร่ตรองมาอย่างรอบคอบแล้ว
.
.
16. ซึมซึบความรู้สึกดี ๆ
เราจะเจือจางความทรงจำร้าย ๆ ได้ ด้วยประสบการณ์ด้านบวก
เราจึงต้องหมั่นเติมความรู้สึกบวกให้ตัวเองอย่างสม่ำเสมอ
อาจเริ่มจากการเปลี่ยนข้อเท็จจริงที่เรามองผ่านให้เป็นความรู้สึกดี ๆ
สิ่งรอบตัว ความสำเร็จเล็ก ๆ
.
และถ้าเราได้เจอประสบการณ์ที่ดี ให้เราซึมซับมันอย่างเต็มที่
อย่าเพิ่งรีบเปลี่ยนความสนใจไปที่สิ่งใหม่
แต่เราควรค่อย ๆ ซึมซับประสบการณ์นั้นให้วึมลึกเข้าไปทั้งทางกายและใจ
ถ้าเราตั้งใจ ประสบการณ์และความรู้สึกนั้นจะเข้มข้นมากขึ้น มีค่ามากขึ้น และน่าจดจำมากขึ้น
.
.
17. แผ่ความรักให้คนอื่น เพื่อความสุขของตัวเอง
เพราะความเห็นอกเห็นใจเป็นสภาวะสูงสุดของความสุข
.
ค่อย ๆ เริ่มจากเปลี่ยนแปลงตัวเอง และเริ่มเปลี่ยนแปลงผู้อื่น
ถ้าเราทุกคนทำได้มันก็จะค่อย ๆ ขยายวงกว้างไป
และสุดท้ายก็อาจช่วยเปลี่ยนแปลงโลกอันเป็นบ้าใบนี้ได้
.
.
รีวิวสั้น ๆ หลังอ่าน
เป็นหนังสือที่นิ้วกลมเขียนโดยใช้เวลาเพียง 3 วัน 5 ชั่วโมง ตอนไปเข้าถ้ำส่วนตัว เช่นเดียวกับตอนที่เขียน Have a nice life
ต้องบอกว่าเมื่อเทียบกันแล้ว เล่มนี้ไม่เชิงเป็นหนังสือพัฒนาตัวเอง
แต่เป็นหึ่งหนังสือฝึกสติ ฝึกจิตใจให้ผ่อนคลาย ฝึกชีวิตให้ช้าลงกับโลกที่หมุนเร็วและแทบจะเป็นบ้ามากขึ้นเรื่อย ๆ
.
Live in Peace มีคอนเซ็ปต์ที่ล้อมาจาก Rest in Peace ที่เรามันอวยพรให้ผู้วายชน
แต่คำถามคือ การใช้ชีวิตให้สงบสุขนั้นทำได้ยากมาก ในโลกที่ดูเหมือนจะวุ่นวายมากขึ้นเรื่อย ๆ
การทำความเข้าใจสาเหตุปัจจัยที่ทำให้เราแทบเป็นบ้ากับชีวิตตัวเอง และการถอนตัวออกมาจากโลกที่วุ่นวายด้วยการฝึกสติ จึงเป็นสิ่งสำคัญมาก
.
รู้สึกได้ชัดเจนว่านิ้วกลมทำหน้าที่ประสานเรื่องบ้า ๆ ที่เกิดขึ้นในโลกปัจจุบัน กับวิธีปฏิบัติเชิงจิตวิญญาณได้ดีมาก
ยอมรับว่าครึ่งแรกของหนังสือ เป็นจิตวิทยา และเป็นเนื้อหาที่ย่อยง่าย เพราะเป็นการอธิบายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
แต่ครึ่งหลังมีความเป็นจิตวิญญาณ และปรัชญา เริ่มอ่านยากขึ้น และต้องใชเวลาในการตกผลึกมากขึ้น
.
แต่โดยรวมแล้ว ก็ยังคิดว่าเป็นเล่มที่แนะนำให้ทุกคนลองอ่านกันดู
เพราะเนื้อหาแฝงข้อคิดสำคัญในการใช้ชีวิตในโลกปัจจุบันไว้หลายข้อ
.
.
พิกัดสั่งซื้อ: https://shope.ee/4pfju6n4UK
.
.
...............................................................................
ผู้เขียน นิ้วกลม
จำนวนหน้า: 304 หน้า
สำนักพิมพ์: KOOB, สนพ.
เดือนปีที่พิมพ์: 2022
...............................................................................
.
.
#หลังอ่าน #LiveinPeace #ไม่เป็นบ้าไปกับโลก
コメント