4 ข้อคิดที่จะโอบกอดหัวใจอันเปราะบาง
จากหนังสือ เจ้าชายน้อย
.
.
“เราจะมองเห็นแจ่มชัดด้วยหัวใจเท่านั้น สิ่งสำคัญนั้นไม่อาจเห็นได้ด้วยตา”
.
.
1) ‘ความรักเกิดจากเวลาที่เราใช้ไปกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
เราเปลี่ยนสิ่งนั้นจากสิ่งที่ธรรมดาทั่วไปเป็นสิ่งที่พิเศษ และมีคุณค่า’
.
เมื่อเจ้าชายน้อยสงสัยว่าทำไมดอกไม้ดอกหนึ่งบนดาวที่ตัวเองอยู่นั้นช่างพิเศษกับตัวเขาเหลือเกิน ทั้ง ๆ ที่เขาได้ค้นพบว่ามีดอกไม้อีกมากมายบนโลกมนุษย์
.
เหตุผลนั้นเรียบง่ายมาก เพราะเจ้าชายน้อยใช้เวลาอย่างมากในการทะนุถนอมดูแลเจ้าดอกไม้ดอกนั้น
เขารดน้ำดอกไม้ดอกนั้นทุกวันตอนเช้า
เอาฝาครอบมาครอบดอกไม้เพื่อกันลม
เขายอมเอาที่ครอบปากสวมลงบนปากแกะเพื่อป้องกันไม่ให้แกะมากินดอกไม้ดอกนี้
.
เวลาที่เขาทุ่มลงไปให้กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ทำให้เขาเกิดความผูกพัน
และทำให้สิ่ง ๆ นั้นกลายเป็นสิ่งพิเศษสำหรับเขา
.
.
เรื่องนี้เมื่อมองสะท้อนกลับมาที่ชีวิตเรา
จะเห็นว่ามีหลายสิ่งหลายอย่างที่ดูเหมือนจะเป็นสิ่งธรรมดาทั่วไป
แต่เพราะเราใช้เวลาทะนุถนอมสิ่ง ๆ นั้น
บางสิ่งบางอย่างจึงมีค่ากับเรามาก
ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นเพียงสิ่งของ สถานที่ หรือผู้คนต่าง ๆ ที่เราใช้เวลาอยู่ด้วย
.
แต่ละคนต่างให้คุณค่ากับสิ่งต่าง ๆ แตกต่างกันไป ตามที่ตัวเองได้มีความรักและผูกพัน
.
ตัวอย่างเช่น โรงเรียนที่เราเคยเรียนสมัยเด็ก
จริงๆแล้วโรงเรียนแต่ละแห่งก็เป็นสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งมีการก่อสร้างอาคารหลายหลัง ล้อมด้วยสนามหญ้า แล้วเอารั้วมากั้นเป็นบริเวณไว้
จากนั้นก็นำบุคลากรที่มีวุฒิและเชี่ยวชาญด้านการศึกษามาให้ความรู้เราในช่วงเวลาหนึ่ง
แต่ทำไมเราทุกคนกลับมาความรู้สึกผูกพันกับโรงเรียนของเรามากกว่า โรงเรียนอื่นทั่วไปอีกนับแสนแห่ง
.
นั่นก็เพราะเรามีความทรงจำดี ๆ กับสถานที่แห่งนั้น
เราเจอเพื่อนดี ๆ
เราได้เล่นสนุก
เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่ ๆ
และเราได้เรียนรู้ที่จะเติบโตจากสถานที่แห่งนี้
.
นั่นทำให้เราผูกพันกับโรงเรียนของเรา และทำให้โรงเรียนแห่งนั้นมีคุณค่ากับเรามากกว่าโรงเรียนอีกนับแสนแห่ง
ความรู้สึกที่เกิดขึ้นนี้เป็นความรู้สึกพิเศษที่เกิดขึ้นเฉพาะเรากับโรงเรียนแห่งนี้
เป็นสิ่งที่ไม่อาจถูกทดแทนได้
.
.
2) ‘การจากลาแม้เป็นเรื่องที่น่าเศร้า แต่ก็เป็นการยืนยันถึงสิ่งพิเศษที่ได้เกิดขึ้นแล้ว’
.
เจ้าชายน้อย ได้พบกับสุนัขจิ้งจอกกลางทะเลทราย และได้ทำให้มันเชื่องด้วยการเข้าไปค่อย ๆ พูดคุย ทำความรู้จัก
แต่สุดท้ายก็ต้องลาจาก เพราะต่างคนต่างมีภาระหน้าที่ของตัวเอง
.
การจากลาก็คงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิตเราอย่างปกติธรรมดา
แต่ความเศร้าที่เกิดขึ้นทุกครั้งที่ต้องจากลา ถ้าไม่เกิดจากความกลัวที่จะสูญเสีย
ก็คงจะเกิดจากความปลื้มปิติยินดีว่าเรื่องราวดี ๆ ของเราและเขาได้เกิดขึ้นแล้ว
.
ไม่ว่าความเศร้าและน้ำตาจะเกิดจากอะไร
แต่มันก็นับเป็นเครื่องพิสูจน์ได้ว่า
เรื่องราวพิเศษระหว่างเราและสิ่ง ๆ นั้นได้เกิดขึ้นจริง และไม่อาจมีอะไรมาทดแทนมันได้
.
.
3) ‘หลายๆคนเติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ ตามแบบฉบับที่สังคมกำหนดขึ้นมา
โดยลืมคิดทบทวนว่า เราทำไปเพื่ออะไร’
.
ตอนที่เจ้าชายน้อยออกเดินทางตามหาคุณค่าในตัวมนุษย์ เขาก็ไปพบกับมนุษย์บนดาวดวงเล็กๆมากมาย
เขาเจอทั้ง พระราชา นักภูมิศาสตร์ นักธุรกิจ คนจุดโคมไฟ คนขี้เหล้า และพวกหลงตัวเอง
.
คนพวกนี้มีจำนวนมากมายบนโลกมนุษย์
แต่สิ่งที่เจ้าชายน้อยได้ค้นพบก็คือ หลายครั้งที่คนพวกนี้ไม่เคยคิดตั้งคำถามกับตัวเองว่า
"สิ่งที่เขาทำอยู่นั้น ทำไปเพื่ออะไร"
.
นักธุรกิจผู้กว้านซื้อดวงดาวที่ครอบครอง อาจไม่เคยคิดว่าจะเขาจะมีดวงดาวเหล่านั้นไปทำไม
ก็คงไม่ต่างอะไรกับนักลงทุนที่กว้านซื้อที่ดิน ซื้อทองคำ แต่ไม่เคยถามตัวเองว่าจะเอาที่ดิน หรือทองคำไปทำอะไร
.
คนจุดโคมไฟ ทำหน้าที่จุดโคมไฟในตอนกลางคืน และดับโคมไฟในตอนเช้า
เขาทำแบบนี้ทุกวัน ทำไปเรื่อย ๆ
แต่ก็ไม่เคยถามว่าทำไปเพื่ออะไร นอกจากว่ามันเป็นหน้าที่ มันเป็นคำสั่ง
.
นี่เป็นสิ่งฉุกคิดที่เจ้าชายน้อยรู้สึกได้ว่า มนุษย์ช่างไร้ความหมายซะเหลือกิน เพราะพวกเขาไม่ได้มองเห็นคุณค่าที่แท้จริงในสิ่งที่พวกเขากำลังทำอยู่
.
.
4) ‘สิ่งสำคัญไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตา แต่ต้องใช้หัวใจในการมอง’
.
เจ้าชายน้อยบอกกับผู้เขียนว่า
แม้เขาจะอยู่ห่างจากดอกไม้ของเขากว่าหลายพันปีแสง เขาก็ยังคงเห็นดอกไม้ของเขาอยู่ที่ดาวดวงใดดวงหนึ่งที่ระยิบระยับอยู่บนท้องฟ้า
เขามองเห็นมันอย่างชัดเจน ไม่ใช่ด้วยตาของเขา
แต่จากหัวใจเขาที่ยังคงรักและผูกพันกับดอกไม้ดอกเดียวบนดาวของเขา
.
เจ้าชายน้อยยังบอกผู้เขียนว่า ความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับผู้เขียนก็จะเป็นแบบเดียวกันเมื่อเขาเดินทางกลับไปยังดาวของเขา
เรื่องราวและความทรงจำดี ๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างเจ้าชายน้อยกับผู้เขียนจะยังคงอยู่
และผู้เขียนจะสามารถสัมผัสมันได้ทุกครั้งที่เงยหน้าขึ้นมองดวงดาว
.
ผู้เขียนจะรู้ได้ทันทีว่า ในดวงนับล้านดวงบนท้องฟ้า มีอยู่ดวงหนึ่งที่เป็นดาวที่เจ้าชายน้อยอยู่
เมื่อนั้นผู้เขียนคงจะยิ้มและรู้ได้ทันทีว่าเจ้าชายน้อยต้องกำลังหัวเราะอยู่ แม้จะมองไม่เห็นได้ด้วยตาก็ตาม
.
เราต่างมีสิ่งที่ผูกพัน สิ่งที่มีคุณค่าพิเศษสำหรับเราเพียงคนเดียว
แต่เรายังมองเห็นสิ่งนั้นอยู่มั้ย ท่ามกลางชีวิตอันวุ่นวาย ความกดดันจากสภาพแวดล้อมและสังคม
เรายังจะสัมผัสสิ่งเหล่านั้นได้อยู่มั้ย
ถ้ามันมองไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
.
.
.
รีวิวสั้น ๆ
ส่วนตัวเคยอ่านเจ้าชายน้อยตั้งแต่เด็ก ๆ โดยรวมน่าจะอ่านเกิน 3 ครั้งแล้ว
แต่บอกตรงๆว่าตอนเด็ก ๆ อ่านไม่ค่อยรู้เรื่อง เนื่องจากประสบการณ์อันน้อยนิด
และหนังสือมีการใช้คำอุปมาอุปไมยเชิงเปรียบเทียบค่อนข้างเยอะ
.
แต่พอขึ้นมาได้หยิบหนังสือเล่มเดิมมาอ่านอีกครั้ง
ความรู้สึกต่าง ๆ ก็เปลี่ยนไปพอสมควร
ข้อคิดที่ได้ ก็ดูเหมอืนจะค่อย ๆ เผยตัวออกมาให้เห็นมากขึ้น
.
ทุกครั้งที่เราอ่านหนังสือ แม้จะเป็นเล่มเดิม แต่เมื่อเวลาผ่านไปสักพัก ความรู้สึกที่ได้จากการอ่านก็อาจต่างจากเดิมได้
โดยเฉพาะนิทานที่อ่านง่าย แต่แฝงข้อคิดไว้มากมายแบบนี้
.
เจ้าชายน้อยเป็นนิทาน สั้น ๆ
อ่านง่าย สนุก เพลิน ๆ
แต่แฝงแง่คิดชีวิตไว้มากมาย
ถ้าจะอ่านสนุกอย่างเดียวก็คงได้
แต่ถ้าจะให้ดี อาจต้องกลับมาเปิดอ่านหลาย ๆ ครั้ง
.
ข้อคิดที่ได้ยังขึ้นกับการตีความอีกด้วย เมื่เราตีความข้อความในหนังสือแตกต่างไป
เราก็ยังคงเรียนรู้เรื่องใหม่ ๆ ได้เสมอ ๆ
.
อ่านกี่รอบผมก็ยังคงทึ่งว่า ผู้เขียนเจ้าชายน้อย อองตวน เดอ แซงเตก-ซูเปรี เป็นนักบิน
ผู้ขับเครื่องบินรบในสงครามโลกครั้งที่ 2 และต้องเสียชีวิตระหว่างปฏิบัติภารกิจ
แต่วรรณกรรมสั้นๆที่เขาเขียนกับกลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนทั้งโลก
และทิ้งแง่คิดดี ๆ ให้เราได้นำมาคิดทบทวนชีวิตในแต่ละวัน
.
เล่มนี้เป็น a must ที่นักอ่านทุกคนน่าจะลองอ่านสักครั้งในชีวิตครับ
.
.
………………………………………………………………………….
ผู้เขียน: อองตวน เดอ แซงเตก-ซูเปรี (Antoine de Saint-Exupery)
ผู้แปล: อำพรรณ โอตระกูล
สำนักพิมพ์: จินด์
แนวหนังสือ : วรรณกรรมเยาวชน
…………………………………………………………………………..
.
.
สนใจสั่งซื้อหนังสือได้ที่
https://bit.ly/38tCoB6
.
#หลังอ่าน #หนังสือควรอ่านก่อนอายุ30 #เจ้าชายน้อย #trancestudio
Comentarios