รีวิว คิดแบบยิว ทำแบบญี่ปุ่น 3
Book 3: เรียนวิชา ‘คน’ กับเฒ่ายิว
.
‘เราทุกคนล้วนเต้นรำอยู่บนเมทริกซ์แห่งความสัมพันธ์’
.
หนังสือเล่มที่ 3 ในชุด คิดแบบยิว ทำแบบญี่ปุ่น และภาคจบของสุดยอดมหากาพย์การเดินทางของชายหนุ่มญี่ปุ่น ที่พยายามฝากตัวเองไปเป็นลูกศิษย์ของอาจาย์จากทั่วทุกมุมโลก เพื่อจะได้เรียนรู้ถึงเคล็ดวิชาความสำเร็จของชีวิต
.
หลังจากเรียนรู้เรื่องการทำงาน และการเงินไปแล้ว เล่มนี้ก็จะเน้นหนักที่ ‘ความสัมพันธ์’
.
เนื้อเรื่องโดยย่อก็จะต่อจากภาคที่แล้ว
หลังจากที่ชายหนุ่มได้ไปเรียนรู้เคล็ดวิชาการบริหารธุรกิจจากอาจารย์ชาวยิวที่อเมริกา ผู้ซึ่งพาเขาไปปล่อยบนเกาะร้างอยู่ 1 คืน
และวิชาการบริการเงินจากอาจารย์ชาวสวิตเซอร์แลนด์ผู้ซึ่งเป็นนายธนาคารที่ยุโรป
เขาก็ได้กลับมาเปิดธุรกิจสอนภาษาอังกฤษ ตั้งแต่เรียนอยู่มหาลัยปี 3
และประสบความสำเร็จทั้งในด้านธุรกิจและการเงินตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 30
.
ชายหนุ่มยังได้แต่งงานกับภรรยาสาวที่เป็นเพื่อนร่วมคลาสกันมาตั้งแต่มหาลัย
แต่พอทั้งคู่เริ่มใช้ชีวิตคู่กันไปสักพัก ก็ดูเหมือนว่าจะมีเรื่องไม่ลงรอยเกิดขึ้น
เมื่อภรรยาของชายหนุ่มบอกว่าจะหนีกลับไปอยู่กับพ่อแม่สักพัก
และขอคิดพิจารณาเรื่องความสัมพันธ์ของทั้งสองใหม่อีกครั้ง
.
ชายหนุ่มผู้ไม่เคยอยู่เฉยจึงออกเดินทางอีกครั้ง
รอบนี้เขากลับมายังอเมริกา ซึ่งจริง ๆ เขาก็ตั้งใจจะมาดีลธุรกิจอยู่แล้ว
แต่เมื่อเรื่องความสัมพันธ์ดูเหมือนจะล้มเหลว เขาก็เลยลองตามหาอาจารย์ด้านความสัมพันธ์มาสอน‘วิชาคน’ อีกครั้ง
.
ห้องเรียนของเขาในรอบนี้อยู่ในป่า และเพื่อนร่วมคลาสของเขาก็มาจากทั่วทุกมุมโลก
เพื่อนของเขาประกอบอาชีพแตกต่างกันมากมาย
อาจารย์คนใหม่ผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์ก็มาจัด workshop เกี่ยวกับด้านความสัมพันธ์ โดยเริ่มจากเรื่องของความรู้สึก
.
.
หลังอ่านจบ นับว่าเป็นอีกเล่มที่ผมชอบมาก
เนื้อหามีความใหม่ ไม่ซ้ำใคร และเอาไปประยุกต์ใช้ได้จริง
การเล่าเรื่องผ่านบทสนทนา 2 คน ยังช่วยให้เข้าใจเนื้อหาได้โดยง่าย
การเล่าเป็นนิทาน มีฉากประกอบก็ช่วยให้จดจำเนื้อเรื่องได้
เล่มนี้แนะนำให้ลองไปหาอ่านกันดูครับ
ส่วนตัวผมอาจชอบมากที่สุดในซีรีย์ คิดแบบยิว ทำแบบญี่ปุ่น ทั้ง 3 เล่มด้วยครับ
.
.
5 วิชาคนต้องรู้ ถ้าไม่อยากมีความสัมพันธ์แย่ ๆ กับคนอื่น
1) รู้จักเมทริกซ์ความสัมพันธ์
เมทริกซ์ความสัมพันธ์ เกิดขึ้นเมื่อคนเราเริ่มมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น
เมทริกซ์ดังกล่าวมี 2 มิติ คือ พึ่งพาตัวเอง/พี่งพาคนอื่น และ มองโลกในแง่บวก/มองโลกในแง่ลบ
.
1. ‘พึ่งพาตัวเอง และมองโลกในแง่บวก’
คนที่อยู่ในตำแหน่งนี้จะมีพลังงานมาก มีความร่าเริง มีเป้าหมาย มีวิสัยทัศน์ มองการณ์ไกล มีความเป็นผู้นำ ชอบช่วยเหลือคนอื่น
คนกลุ่มนี้มักคอยส่งพลังงานเชิงบวกให้คนอื่น จึงเหมาะที่จะเป็นผู้นำองค์กร
แต่ถ้าอยู่กับคนประเภทนี้มากเกินไปก็อาจรู้สึกเหนื่อย เพราะคนอื่นต้องคอยวิ่งตามเขาอยู่ตลอดเวลา
.
2. ‘พึ่งพาคนอื่น และมองโลกในแง่ลบ’
คนที่อยู่ในตำแหน่งนี้จะเป็นเหมือนคนหมดอาลัยตายอยาก คิดว่าโลกนี้มีแต่สิ่งเลวร้ายเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอย หรือโรคระบาด
คนในตำแหน่งนี้จะขี้บ่น ไม่พอใจกับสภาพชีวิตของตัวเอง และจมอยู่กับอดีต
แต่คนกลุ่มนี้มีข้อดีคือ การมีความรู้สึกร่วมกับผู้อื่นสูง เห็นอกเห็นใจผู้อื่น และมีอารมณ์อ่อนไหวง่าย
.
3. ‘พึ่งพาตัวเอง และมองโลกในแง่ลบ’
คนกลุ่มนี้จะเป็นคนที่มักมองว่าตัวเองมีความสามารถ และคนอื่นไร้ความสามารถ จึงมักพยายามเข้าไปควบคุมคนอื่น
คนกลุ่มนี้ชอบบงการ สั่งการ และเป็นคนขี้หงุดหงิด อารมณ์เสียง่าย
ถ้าเป็นหัวหน้าก็จะเป็นหัวหน้าที่เข้มงวด จุกจิก
แต่พวกเขามีจุดเด่นคือ เป็นคนที่มีความละเอียดรอบคอบสูง
.
4. ‘พึ่งพาคนอื่น และมองโลกในแง่บวก’
คนกลุ่มนี้มองว่าตัวเองอ่อนแอ ไร้ความสามารถ ทำอะไรไม่ค่อยได้เรื่อง และคนอื่นล้วนมีแต่คนเก่ง มีความสามารถ ดูน่าเกรงขาม
คนประเภทนี้จึงมักขาดความมั่นใจในตัวเอง พูดติดขัด บางทีก็อาจถูกคนอื่นรังแก
แต่จุดเด่นของคนกลุ่มนี้ คือการเป็นคนอ่อนโยนและช่วยสร้างความผ่อนคลายให้คนที่อยู่ด้วย
.
2) เราทุกคนล้วนเข้าไปอยู่ในตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งของเมทริกซ์ เมื่อมีความสัมพันธ์กับคนอื่น
เมื่อมีความสัมพันธ์กับคนอื่น เราทุกคนมักจะวางตัวอยู่ใน ตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งบน 4 ตำแหน่งของเมทริกซ์ความสัมพันธ์
เพื่อให้ ‘รับกับ’ ตำแหน่งบนเมทริกซ์ความสัมพันธ์ของอีกฝ่าย
.
ถ้าคนที่เรามีความสัมพันธ์ด้วย วางตัวเองในตำแหน่ง พึ่งพาตัวเอง และมองโลกในแง่บวก เราก็จะเผลอวางตัวเองในตำแหน่ง พึ่งพาคนอื่น และมองโลกในแง่ลบ ไปโดยปริยาย
เช่น ถ้าพ่อเป็นคนเจ้ากี้เจ้าการ ขี้หงุดหงิด ชอบมองว่าคนอื่นไม่เอาไหน (พึ่งพาตัวเอง และมองโลกในแง่ลบ)
แม่ก็จะเป็นคนที่คิดว่าตัวเองไม่เก่ง ไร้ความสามารถ ขาดความมั่นใจในตัวเอง (พึ่งพาคนอื่น และมองโลกในแง่บวก) ไปโดยอัตโนมัติ
.
ในขณะที่ถ้าคู่ความสัมพันธ์ของเราวางตัวเองในตำแหน่ง พึ่งพาตัวเอง และมองโลกในแง่ลบ เราก็จะเผลอวางตัวเองในตำแหน่ง พึ่งพาคนอื่น และมองโลกในแง่บวก ไปโดยปริยายเช่นเดียวกัน
เช่น ถ้าหัวหน้าเป็นคนมีวิสัยทัศน์กว้างไกล มีพลังล้นหลาม ทำงานเป็นบ้าเป็นหลัง (พึ่งพาตัวเอง และมองโลกในแง่บวก)
เช่น ลูกน้องก็อาจจะตามไม่ทัน จนรู้สึกว่าสถานการณ์รอบตัวมันแย่ไปหมด แล้วก็คิดว่าโปรเจคต่าง ๆ ของหัวหน้ามันทำไม่ได้จริงอย่างที่คิด (พึ่งพาคนอื่น และมองโลกในแง่ลบ) ไปโดยอัตโนมัติเช่นเดียวกัน
.
3) ปัญหาเรื่องคนเกิดจากการพยายาม ‘ดึงคนอื่นเข้าสู่ศูนย์กลางของเมทริกซ์ความสัมพันธ์’
กลไกการวางตัวเองในตำแหน่งตรงกันข้ามกับคนที่เรามีความสัมพันธ์ด้วย เกิดขึ้นเพื่อถ่วงให้เกิด ความสมดุล ของความสัมพันธ์
เหมือนต่างฝ่ายต่างพยายาม ดึงอีกฝ่ายเข้าหา ‘จุดศูนย์กลาง’ ของเมทริกซ์
หลายครั้งการพยายามดึงอีกฝ่ายเข้ามาหาจุดศูนย์กลางดังกล่าว จึงกลายมาเป็นการไม่เข้าใจกัน
และเกิดเป็นปัญหาความสัมพันธ์เรื้อรัง
.
ดังนั้นถ้าอยากเข้าใจคนอื่น เราต้องเริ่มจากรู้ตัวเองก่อนว่า เรามักวางตัวในตำแหน่งตรงกันข้ามกับคนที่เรามีความสัมพันธ์ด้วยเสมอ และเราต้องลองหาสาเหตุว่า ทำไมอีกฝ่ายถึงวางตัวในตำแหน่งนั้น ๆ ของเมทริกซ์ความสัมพันธ์
.
4) ปมในอดีต ทำให้เรามีตำแหน่งเฉพาะบนเมทริกซ์ความสัมพันธ์
สาเหตุที่แต่ละคนมักมีตำแหน่งเฉพาะบนเมทริกซ์ความสัมพันธ์ อาจเกิดจากปมในอดีต
โดยเฉพาะการถูกเลี้ยงดูจากพ่อแม่
โดยส่วนใหญ่ ถ้าพ่อแม่เราวางตัวตรงตำแหน่งไหนบนเมทริกซ์ความสัมพันธ์กับเรา เราก็มักจะเผลอวางตัวในตำแหน่งตรงกันข้ามเสมอ ๆ
พอเราโตขึ้น เราก็จะติดตำแหน่งตรงนั้น และเมื่อเกิดความสัมพันธ์กับคนอื่น เช่นเพื่อนร่วมงาน หรือคู่ชีวิต เราก็มักวางตัวในตำแหน่งเดิมที่คุ้นเคยต่อ โดยอาจไม่รู้ตัว
.
ดังนั้น วิธีแก้การมีปัญหาความสัมพันธ์กับคนอื่น ต้องเริ่มจากการเข้าใจปมหลัง และสาเหตุที่คู่ความสัมพันธ์ของเรา ว่าทำไมเขาถึงวางตัวบนตำแหน่งนั้น ๆ
การลองสอบถามเพื่อทำความเข้าใจเรื่องราวในอดีต รวมถึงความรู้สึกของคนที่เรามีความสัมพันธ์ด้วยจึงนับเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างสัมพันธ์ที่ดี
.
5) จงเต้นรำไปบนเมทริกซ์ความสัมพันธ์
สุดท้ายแล้ว ถ้าเราเข้าใจปมในอดีตและความรู้สึกของคนที่เรามีความสัมพันธ์ด้วย เราก็จะรู้ว่า เราควร ‘เต้นรำ’ ไปกับคน ๆ นั้นบนเมทริกซ์ความสัมพันธ์ยังไง
หลักการคือ การรักษาสมดุลตำแหน่งของเรากับคู่สัมพันธ์ ให้มีระยะจากศูนย์กลางเมทริกซ์พอดี ๆ
ระวังอย่าให้ตัวเอง หรือคู่สัมพันธ์ถลึกลึกเข้าไปในแต่ละตำแหน่งมากจนเกินไป
ในระยะที่ห่างจากศูนย์กลางพอดี ๆ เราจะช่วยดึงข้อดีของคนที่อยู่ในแต่ละตำแหน่งบนเมทริกซ์ออกมาได้
และเป็นการป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายถลำลึกเข้าไปในตำแหน่งนั้น จนมีแต่ข้อเสียปรากฎออกมา
.
ตัวอย่างเช่น ถ้าเราเป็นหัวหน้าและเราค้นพบว่าตัวเองเป็นพวก พึ่งพาตัวเองและมองโลกในแง่ดี
ในขณะที่ลูกน้องคนอื่น ๆ นั้น เป็นประเภท พึ่งพาคนอื่นและมองโลกในแง่ลบ
เราก็ควรลดความทะเยอทะยานของตัวเองลง (ลดไม่ให้ตัวเองถลำลึกในตำแหน่ง พึ่งพาตัวเองและมองโลกในแง่ดี มากเกินไป)
และคอยกระตุ้นให้ลูกน้องไม่มองโลกในแง่ร้ายเกินไป (ลดไม่ให้ลูกน้องถลำลึกในตำแหน่ง พึ่งพาคนอื่นและมองโลกในแง่ลบ มากเกินไป)
นอกจากนี้เราอาจนำจุดเด่นของคนประเภท พึ่งพาคนอื่น และมองโลกในแง่ลบ มาใช้ในการทำงานร่วมกับคนอื่นมากกว่าเดิม เช่น เราอาจฝึกมีอารมณ์ร่วมกับคนอื่น ๆ ให้มากขึ้น
วิธีนี้จะทำให้เราเข้าใจลูกน้องของเรามากขึ้น และช่วยให้การทำงานเป็นทีมราบรื่นขึ้นด้วย
.
สิ่งสำคัญคือ การที่เราต้องตระหนักอยู่เสมอว่า ทุกตำแหน่งบนเมทริกซ์ความสัมพันธ์ ล้วนมีข้อดี และสามารถนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์กับการทำงานได้
นอกจากนี้ ข้อดีเหล่านี้ยังสามารถเป็นส่วนช่วยในการสร้างความสัมพันธ์ดี ๆ กับคนรอบตัวเราในระยะยาวได้อีกด้วย
.
.
*สปอยตอนจบ*
สุดท้ายแล้ว ชายหนุ่มก็สามารถบรรลุ ‘วิชาคน’ ได้สำเร็จ
เขาส่งจดหมายกลับไปหาภรรยาของเขาที่ญี่ปุ่น เขาขอโทษที่บ้างานและมองไปข้างหน้ามากจนเกินไป (ชายหนุ่มเป็นประเภท ‘พึ่งพาตัวเอง และมองโลกในแง่บวก’)
ซึ่งทำให้ภรรยาของเขารู้สึกเหนื่อย และถูกละเลยความใส่ใจ
และจะให้ความสำคัญกับเรื่องความสัมพันธ์และชีวิตคู่ให้มากกว่าเดิม
เขาจะทำงานให้น้อยลง และตั้งใจเลี้ยงลูกที่กำลังจะเกิด
เหมือนกับการกลับไปแต่งงานใหม่อีกครั้งกับภรรยาคนเดิม
จบบริบูรณ์ !
.
แม้หนังสือเล่มนี้จะเขียนนานแล้ว แต่เรื่องของความสัมพันธ์กับคนก็ยังคงเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นมาทุกยุคทุกสมัย
ผมรู้สึกว่าหลาย ๆ ครั้ง ตัวเองก็ถูก ‘เต้นรำ’ ไปบนเมทริกซ์ความสัมพันธ์นี้แหละครับ
ซึ่งการพยายามเข้าใจฝ่ายตรงข้ามเป็นเรื่องยาก
แต่ถ้าเราเข้าใจตำแหน่งทั้ง 4 บนเมตริกซ์นี้และเอาข้อดีมาใช้อย่างเกิดประโยชน์ ผมว่ามันก็น่าจะช่วยให้เรามีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้างมากขึ้น งานก็จะดีขึ้น ชีวิตของเราก็จะประสบความสำเร็จมากขึ้น มีความสุขมากขึ้น และถูกเติมเต็มมากขึ้นครับ
.
จบกันไปแล้วกับซีรีย์หนังสือ คิดแบบยิว ทำแบบญี่ปุ่น ทั้ง 3 เล่ม จัดว่าเป็นซีรีย์ที่ผมชอบที่สุดเลยก็ว่าได้ ตั้งแต่อ่านหนังสือแนวนี้มา
.
.
………………………………………………………………………….
ผู้เขียน: ฮอนดะ เคน
ผู้แปล: โยซุเกะ
จำนวนหน้า: 312 หน้า
สำนักพิมพ์ : WeLearn
เดือนปีที่พิมพ์: 2019
แนวหนังสือ : จิตวิทยา, พัฒนาตัวเอง
…………………………………………………………………………..
.
สั่งซื้อหนังสือได้ที่
.
.
#หลังอ่าน#หนังสือควรอ่านก่อนอายุ30 #100เล่มควรอ่านก่อน30 #คิดแบบยิวทำแบบญี่ปุ่น3
Comments