รีวิวหนังสือ เพียงชั่วเวลากาแฟยังอุ่น
.
.
เมื่ออ่านหนังสือ non-fiction ไปนานๆ ผมก็เชื่อว่าหลายๆคนคงจะรู้สึกคล้ายๆผมที่ แอบเลี่ยนๆไปบ้าง บางครั้งเลยต้องเปลี่ยนสไตล์มาอ่านนิยาย เพื่อให้ได้อรรถรสของการอ่าน และเพลิดเพลินไปกับเรื่องราวความรู้สึกของตัวละคร รวมถึงการจินตนาการตามตัวหนังสือที่ได้อ่าน ซึ่งบางครั้งอาจขาดหายไปบ้างในหนังสือ non-fiction
.
เล่มที่หยิบมาอ่าน ก็เป็นหนังสือแปลชื่อดังจากญี่ปุ่น ‘เพียงชั่วเวลากาแฟยังอุ่น’ หนังสือที่มีแก่นหลักของเรื่องอยู่ที่การย้อนเวลาไปในอดีต แต่เพิ่มสีสันให้กับการย้อนเวลาโดยการตั้งกฎการย้อนเวลาต่างๆขึ้นมา ทำให้เนื้อเรื่องมีความพิเศษ และลึกซึ้งไปในตัว
.
ซึ่งกฎที่สำคัญที่สุดของหนังสือเล่มนี้ก็คือ ถึงจะย้อนเวลากลับไปในอดีตได้ แต่ก็ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้เลย ไม่ว่าจะเปลี่ยนคำพูด เปลี่ยนการกระทำไปยังไงก็ตาม ผลลัพธ์ต่างๆของเหตุการณ์จะยังคงเดิมอยู่ และกฎอีกข้อหนึ่งก็คือ คนที่จะย้อนเวลากลับไปได้นั้น จะย้อนกลับไปได้แค่ในช่วงที่ ‘กาแฟยังอุ่นอยู่’ เท่านั้น นั่นหมายความว่า ถ้ากาแฟเย็นชืดแล้วเมื่อไหร่ เขาก็จะต้องเดินทางกลับมายังปัจจุบันในทันที
.
ต้องขอบอกก่อนนะครับ ว่าถ้าผมหยิบนิยายมารีวิว ก็จะไม่สปอยเนื้อหาสำคัญของเรื่องเด็ดขาด เพราะความสนุกของการอ่านนิยายก็คงจะอยู่ที่การคาดเดาเรื่องไม่ได้เนี่ยแหละครับ การรีวิวนิยายจึงเป็นการเล่าเรื่องย่อ การนำเสนอมุมมอง ข้อคิด และความรู้สึกของผมหลังอ่านจบเท่านั้น
.
.
..........................
เรื่องย่อของนิยายเรื่องนี้สั้นๆเลยก็คือ การที่ตัวละครในเรื่องย้อนเวลากลับไปในอดีตเพื่อแก้ไข ‘ปมความสัมพันธ์’ ที่ยังค้างคาใจอยู่ในปัจจุบัน เนื้อเรื่องเล่าถึงปมความสัมพันธ์ของตัวละครหลัก 4 ตัว ที่ต่างมีปมกับตัวละครในโลกอดีตที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นปมความสัมพันธ์ของคู่รักหนุ่มสาว ปมความผูกพันของแม่ลูก ปมความไม่เข้าใจกันของพี่น้อง และปมความรักที่เปลี่ยนแปลงไปของคู่รักที่แต่งงานกันมานาน
.
สิ่งสำคัญคือ แม้ทุกคนที่ย้อนเวลาจะเข้าใจกฎการย้อนเวลาที่บอกว่า ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็เปลี่ยนแปลงสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วไม่ได้ แต่พวกเขาก็ยังอยากจะย้อนเวลากลับไปอยู่ดี นี่จึงเป็นแก่นเรื่องหลักว่า พวกเขาจะย้อนเวลากันไปทำไม ถ้ารู้อยู่แล้วว่าถึงย้อนไปได้ สุดท้ายผลลัพธ์ก็ยังคงเหมือนเดิม...
.
หลังอ่านจบ ถ้าตอบแบบสั้นๆก็คงจะบอกว่า ผมชอบนะ แม้จะรู้สึกว่าเนื้อเรื่องค่อนข้างเบา และยังกระชากอารมณ์ได้ไม่สุด แต่ความรู้สึกอบอุ่นของตัวละครยังคงอบอวลอยู่ในใจหลังอ่านจบ ส่วนเรื่องความตื่นเต้น เรื่องความเซอร์ไพร๊ส และเนื้อเรื่องที่คาดเดาไม่ได้นั้น ก็ยังไม่ถึงกับสุดมาก เพราะถ้าตั้งใจอ่าน ผมเชื่อว่าหลายๆคนก็น่าจะพอเดาๆเนื้อเรื่องได้ แม้จะมีการอธิบายกฎย้อนเวลาเพิ่มเติมที่ทำให้ตกใจอยู่บ้าง
.
อีกอย่างที่อยากจะรีวิวคือ หนังสือให้กลิ่นอายของวัฒนธรรมญี่ปุ่นอย่างมาก ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องฉากร้านกาแฟ เรื่องลักษณะความสัมพันธ์ของตัวละคร หรือเรื่องค่านิยมต่างๆ แต่การกระทำของตัวละครแต่ละตัว ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดเป็นปมใหญ่ๆของเรื่องก็ยังแสดงถึงความเป็นญี่ปุ่นอยู่พอสมควร ใครที่ชอบความเป็นเอกลักษณ์ของวัฒนธรรมญี่ปุ่นอยู่แล้ว เล่มนี้ก็น่าจะตอบโจทย์ในเรื่องนี้ด้วยครับ
.
.
สุดท้ายผมอยากแชร์เป็น 4 ข้อคิดสั้นๆของตัวผมเองที่ได้จากการอ่านหนังสือเพียงชั่วเวลากาแฟยังอุ่นนะครับ
.
1) ‘whatever will be, will be’
.
‘อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด’ นี่เป็นหลักปรัชญาหลักที่แทรกอยู่ในหนังสือเล่มนี้ โดยกฎการย้อนเวลาข้อสำคัญที่สุดของเรื่องก็คือ การที่ตัวละครไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอดีต หรือสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วได้ ไม่ว่าจะพยายามเปลี่ยนแปลงมันด้วยวิธีใดก็ตาม
.
ในหลายๆครั้ง เราคงจะมีโมเม้นอยากจะย้อนเวลากลับไปเพื่อแก้ไขสิ่งที่เราคิดว่าทำผิดพลาดไปในอดีต และคิดว่าถ้ากลับไปได้เราน่าจะทำสิ่งนั้นได้ดีกว่าเดิม แต่ในเมื่อในความเป็นจริงเราไม่สามารถย้อนเวลาได้ จึงไม่มีใครรู้ว่าถ้ามีคนย้อนเวลากลับไปได้จริงๆ เขาจะแก้ไขสิ่งผิดพลาดในอดีต และทำให้ปัจจุบันดีขึ้นจจริงๆรึเปล่า
.
แนวคิดในแบบที่เชื่อว่าทำได้ ก็มีให้เห็นในหนังหรือหนังสือหลายๆเรื่อง เช่น Back to the future, Avenger Endgame, X-men day of future past ที่ถ้าเราเปลี่ยนอดีตแล้ว เราจะแก้ไขปัจจุบันได้ด้วย แต่ถ้าเราทำแบบนั้นไม่ได้ละ ถ้าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่นอกเหนือการควบคุมของเรา ถ้าสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วนั้น ไม่ว่าเราจะพยายามป้องกันยังไง มันก็ยังจะเกิดขึ้นอยู่ดี แนวคิดแบบนี้เป็นแนวคิดอีกแบบที่เชื่อว่า บางสิ่งบางอย่างอาจถูกกำหนดไว้แล้ว และอยู่นอกเหนือจากอำนาจการควบคุมของเรา
.
ซึ่งอย่างที่ผมบอกไปว่า ไม่มีใครพิสูจน์ได้ว่า แนวคิดไหนที่มีความถูกต้องตามหลักวิทยาศาสตร์
.
แต่สิ่งที่น่าคิดมากกว่าคือ ถ้าสุดท้ายแล้ว แนวคิดอย่างหลังนั้นคือ สิ่งที่ถูกต้องตามหลักวิทยาศาสตร์ ตามกฎการย้อนเวลา เราจะรับมือกับการไร้ซึ่งอำนาจในการเปลี่ยนแปลงได้อย่างไรบ้าง
.
.
2) สิ่งที่เราเปลี่ยนได้นั้น อาจไม่ใช่โลกภายนอก แต่เป็นโลกภายในตัวเราเอง
.
ผมคิดว่านี่คือ สิ่งที่หนังสือพยายามจะบอกเรา การย้อนเวลากลับไปในสิ่งที่ผ่านไปแล้ว แม้จะเปลี่ยนความเป็นจริงภายนอกไม่ได้ แต่ความเป็นจริงภายในตัวเราอาจไม่เหมือนเดิมก็ได้
.
มันเหมือนกับการแล่นเหตุการณ์เดิมซ้ำครั้งที่สองให้เรานั่งดู โดยครั้งแรกเรารู้อยู่แล้วว่า เหตุการณ์เป็นอย่างไร และเราอาจจะรู้ด้วยว่าเราคิดอะไรอยู่ในตอนนั้น ถึงได้ทำให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้น และทำให้เกิดผลลัพธ์แบบนั้นออกมา การได้ดูหนังม้วนเดิมเป็นครั้งที่สองจึงทำให้เราได้ทบทวนความคิด และมองสิ่งที่เกิดขึ้นจากมุมใหม่
.
เราอาจไม่มีอำนาจไปเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ภายนอกที่ได้เกิดขึ้นไปแล้ว แต่ความคิดและมุมมองใหม่ๆที่เกิดขึ้นในใจเรานั้น ก็อาจจะทำให้เราไม่ใช่คนๆเดิมก่อนย้อนเวลากลับไป
.
นี่จึงอาจเป็นสิ่งที่หนังสือพยายามเล่าว่า โลกภายในของเรานั้น ส่งผลต่อตัวเราไม่แพ้โลกภายนอก หรือพูดอีกนัยหนึ่งก้คือ ความคิดและมุมมองของเรานั้นก็ส่งผลต่อการกระทำถัดไปของเราได้ไม่แพ้อิทธิพลของสิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกภายนอก
.
.
3) คำพูด อาจเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เราเข้าใจกัน
.
.
คำพูดเป็นสิ่งสำคัญมากๆ ที่ทำให้เราสื่อสารกับผู้อื่นได้รู้เรื่อง ทำให้เขาเข้าใจความรู้สึกของเรา และในขณะเดียวกันก็ทำให้เราเข้าใจความคิด ของอีกฝ่ายเช่นเดียวกัน
.
ถ้าพูดให้เว่อร์อีกหน่อยก็อาจบอกได้ว่า คำพูดเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้คนสองคนเข้าใจกัน ถ้าเราไม่พูด ไม่สื่อสาร ความในใจของเราก็คงจะอยู่กับแค่ในตัวเราต่อไป แต่คงส่งไปไม่ถึงอีกคนหนึ่ง
.
ปัญหาความสัมพันธ์ต่างๆมากมายทั่วโลก ก็ล้วนเกิดมาจาก ‘การไม่พูด’ การไม่ยอมสื่อสารกันให้เข้าใจ และการปล่อยให้อีกฝ่ายคาดเดาไปต่างๆนาๆ ว่าเราคิดอะไรอยู่ หรือเราต้องการอะไร
.
ผมคิดว่าเรื่องนี้ถูกสะท้อนให้เห็นชัดเจนมากในวัฒนธรรมญี่ปุ่น ซึ่งเป็นวัฒนธรรมที่คนมักเลือกที่จะสงวนคำพูดมากกว่าที่จะบอกความรู้สึกนึกคิดของตัวเองออกไปตรงๆ แม้มันอาจมีข้อดีในด้านการป้องกันการเข้าใจผิดอยู่บ้างก็ตาม แต่ข้อเสียและความเสี่ยงที่ตามมาก็เรียกได้ว่า หนักหนาสาหัสไม่แพ้ข้อดีเลย
.
หนังสือเล่มนี้แสดงเรื่องนี้ออกมาได้ชัดเจนมาก การบรรยายความรู้สึกของตัวละคนออกมาเป็นหน้าๆ แต่สุดท้ายส่วนที่เป็นคำพูดที่ตัวละคนเลือกที่จะพูดออกไปกลับมีเพียงไม่กี่ประโยคสั้นๆ
.
.
4) ทุกโมเม้นเล็กๆ ล้วนส่งผลต่อชีวิตของเราในปัจจุบัน
.
อีกเรื่องที่ผมคิดว่า หนังสือให้อยากสื่อสารกับเราก็คือ เรื่องกฎการจำกัดเวลาในการอยู่ในอดีต คือคนที่จะย้อนเวลานั้นสามารถเข้าไปอยู่ในอดีตได้เพียงแค่ชั่วขณะที่กาแฟยังอุ่นอยู่เท่านั้น
.
นับว่าเป็นโมเม้นสั้นๆ แต่กลับมีความหมายอันยิ่งใหญ่เพียงพอให้หลายคนตัดสินใจเลือกจะเดินทางกลับไปในอดีต แม้จะรู้กฎข้อนี้อยู่แล้วก็ตาม
.
เหตุผลที่ตัวละครในเรื่องเลือกที่จะทำอย่างนั้น ผมเชื่อว่าอย่างหนึ่งก็เพราะพวกเขาต่างล้วนเชื่อว่า แม้จะเป็นเพียงโมเม้นสั้นๆ แต่มันอาจมีอิทธิพลมากพอต่อตัวเขาไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง และแน่นอนว่าหนังสือเล่าอย่างชัดเจนว่า อิทธิพลของการกลับไปอยู่ในอดีตเพียงสั้นๆนั้นมากมายเหลือเกิน
.
ผมคิดว่าชีวิตคนเราจริงๆก็ประกอบขึ้นด้วยโมเม้นต่างๆมากมายที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน ซึ่งบางโมเม้นอาจดูธรรมดา ดูทั่วไปไม่มีอะไรพิเศษ แต่โมเม้นเหล่านั้นล้วนส่งผลต่อการเลือการกระทำของเราโดยที่เราไม่รู้ตัว และพอเป็นหลายๆโมเม้นมารวมกันเข้า มันก็คือการเลือการกระทำทั้งหมดในชีวิตเรา หรือก็คือการดำเนินชีวิตของเรานั่นเอง
.
.
.
.
.
.
.
………………………………………………………………………….
✍🏻ผู้เขียน: Toshikazu Kawaguchi (โทชิคาซึ คาวางุจิ)
✍🏻ผู้แปล: ฉัตรขวัญ อดิศัย
🏠สำนักพิมพ์: แพรว, สนพ.
📚แนวหนังสือ: นิยาย
…………………………………………………………………………..
.
.
📚สนใจสั่งซื้อหนังสือได้ที่
.
.
#หลังอ่าน #รีวิวหนังสือ #หนังสือ2020 #หนังสือ2563 #reviewหนังสือ #เพียงชั่วเวลากาแฟยังอุ่น #สำนักพิมพ์แพรว #หนังสือนิยาย #ToshikazuKawaguchi #โทชิคาซึคาวางุจิ #แพรวสำนักพิมพ์ #ฉัตรขวัญอดิศัย #นิยาย
Comments