รีวิว ปาฏิหาริย์ร้านชำของคุณนามิยะ
.
.
เป็นนิยายเล่มแรกเลยที่แอดมินขออนุญาตเอามาเข้าลิสต์หนังสือควรอ่านก่อน 30 เพราะมันดีจริงๆ และให้ข้อคิดการใช้ชีวิตเยอะมาก
.
ปาฏิหาริย์ร้านชำของคุณนามิยะ เป็นหนังสือนิยายจากญี่ปุ่นที่ดังสุดๆในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา กระแสแรงอย่างต่อเนื่อง แม้จะเป็นนิยาย แต่ข้อคิดหลังอ่านของเล่มนี้กลับน่าสนใจกว่าเล่มอื่นๆ
.
ขอรีวิวโดยคร่าวๆก่อน แล้วจะเข้าสู่สรุปเนื้อหลัก และข้อคิด 5 ข้อหลังอ่านหนังสือ (แบบคิดสปอยนิดๆ) ...เพราะฉะนั้นใครกลัวสปอยก็อ่านแค่รีวิวเบื้องต้นพอนะครับ
.
ต้องบอกเลยว่าความยาวหนังสือกว่า 500 หน้าไม่ได้ทำให้หนังสือน่าเบื่อแม้แต่น้อย ตลอดเล่มหนังสือมีการแบ่งออกเป็นบทๆย่อย เป็นเรื่องราวของผู้คนหลายชีวิตที่มีความเชื่อมโยงกัน โดยมีจุดเชื่อมหลักคือ ร้านชำของคุณนามิยะ
.
ฉากของเรื่องส่วนใหญ่จึงวนอยู่ที่ร้านชำของคุณนามิยะ ร้านชำธรรมดาที่คุณตานามิยะได้เปิดรับบริการปรึกษาปัญหาชีวิต เหมือนเป็นไลฟ์โค้ชให้กับบรรดาหนุ่มสวยทั้งหลายที่กำลังงุนงง ไม่แน่ใจกับเส้นทางที่ตัวเองกำลังจะต้องตัดสินใจ
.
วิธีการรับคำปรึกษาก็ง่ายแสนง่าย เพียงแค่เขียนคำถามลงกระดาษ นำกระดาษส่ในซองจดหมาย และยื่นซองจดหมายลงไปช่องใส่จดหมายหน้าประตูม้วน (หน้าบ้านแบบญี่ปุ่น) และรอจนรุ่งสางของวันรุ่งขึ้น คำตอบจากคุณตานามิยะก็จะถูกเขียนคืนใส่กระดาษบนซองอันเดิม แล้ววางไว้ที่กล่องใส่นมด้านหลังบ้าน
.
แต่ความอัศจรรย์อยู่ที่ว่าร้านชำดังกล่าวนี้ไม่เพียงแต่รับคำปรึกษาของคนที่มาหย่อยจดหมายหน้าบ้านเท่านั้น แต่ยังรับตอบปัญหาจากคนที่อยู่ใน ‘อดีต’ และ ‘อนาคต’ โดยคนถามกับคนตอบนั้นสื่อสารกันผ่านช่องส่ง-รับจดหมายเหมือนปกติ
.
ต้องบอกว่าเนื้อเรื่องที่ดูเรียบง่ายข้างต้นไม่ได้สะท้อนถึงอารมณ์ของหนังสือที่มีความผสมกันของทั้ง สุข เหงา เศร้า ซึ้ง อิ่มเอมใจ และสะเทือนใจ
.
หนังสือเล่มนี้ไม่ฟีลกู้ดเหมือนหนังสือนิยายหลายๆเล่ม แม้จะให้ความรู้สึกอบอุ่นเจือปนอยู่บ้าง แต่ปมปัญหาที่หนังสือหยิบมาเล่น มีแต่ปมปัญหาหนักๆทั้งนั้น ยิ่งถ้าจินตนาการว่าเราเป็นคนที่เผชิญปัญหาเหล่านั้นและส่งจดหมายไปขอคำปรึกษาจากคุณตามิยะ คงจะหนักหนาสาหัสน่าดู
.
แต่แม้หนังสือจะขมวดปมต่างๆไว้เยอะมาก แต่พอเรื่องดำเนินไปเรื่อยๆ ปมเหล่านั้นก็จะค่อยๆถูกคลี่คลาย และมีบทสรุปอย่างสวยงามให้ตัวละครทุกตัว
.
มาถึงช่วงสรุปเนื้อหา ซึ่งอาจมีสปอยมาเจือปนนิดหน่อยนะครับ..
.
หนังสือแบ่งเป็น 5 ตอนหลักๆ แต่ละตอนจบในตอนไม่มีเวิ่นเว้อ
.
ตอนที่ 1
เปิดฉากด้วยโจน 3 คนที่บุกเข้าไปที่บ้านร้างหลังหนึ่งที่เพื่อซุกซ่อนตัวยามดึกหลังจากออกปล้นมา เขาต้องการหาที่ซุกหัวนอนจนถึงเช้า เพื่อให้แผงตัวกับผู้คนและหนีไปอย่างเนียนๆ แต่แล้วระหว่างที่เขานั่งอยู่ในบ้าน เขาก็พบว่ามีคนส่งจดหมายเข้ามาจากประตูม้วนหน้าบ้าน แต่พอออกไปดูแล้วก็ไม่พบใคร
.
ด้วยความอยากรู้อยากเห็น โจรทั้ง 3 คนก็เปิดจดหมายอ่าน แล้วพบว่าเป็นจดหมายที่มีคนเขียนมาเพื่อขอคำปรึกษาจากคุณนามิยะ ทำให้ทั้ง 3 ทราบในทันทีว่าตัวเองได้เข้าไปอยู่ในร้านนามิยะแล้ว
.
และด้วยความหนักของเนื้อหาในจดหมาย ที่สะท้อนถึงปัญหาทุกข์ใจของคนเขียน โจรทั้ง 3 คนจึงไม่อาจนิ่งดูดายนั่งเฉยๆรอจนเช้าได้ เขาจึงลงมือเขียนคำตอบและส่งกลับจดหมายนั้นกลับไป
.
บทนี้จึงเหมือนเป็นการเกริ่นนำความมหัศจรรย์ของร้านนามิยะ อ่านไปก็จะลุ้นไปว่าแล้วเรื่องราวจะเป็นยังไงต่อ ความลึกลับของร้านนามิยะจะน่าค้นหาแค่ไหน หรือความจริงแล้วมีเวทย์มนต์บางอย่างซ่อนอยู่ในร้านจริงๆ
.
คนอ่านจะเพลินๆไปกับการจินตนาการว่าตัวเองเป็นโจรทั้ง 3 คน แล้วค่อยๆค้นพบเวทย์มนของร้านนามิยะไปพร้อมๆกัน ส่วนเรื่องในจดหมายที่มีคนส่งมานั้น เป็นเรื่องที่หนักใจพอสมควร แต่ที่ผมชอบมากเป็นพิเศษคือบทสรุปการตัดสินใจของคนส่งจดหมายที่คาดเดาไม่ได้จริงๆ
.
หลังอ่านจบตอนนี้อาจมีความรู้สึกสะเทือนใจพอควร แต่พอกลบๆไปกับความอยากรู้จากมุมของโจร 3 คนก็ทำให้รสชาติออกมากลมกล่อมมาก
.
.
ตอนที่ 2
ตอนถัดมา หนังสือตัดกลับไปเล่าฉากในอดีตบ้าง เป็นเรื่องราวของเด็กหนุ่มคนหนึ่งซึ่งเป็นคนละแวกบ้านเดียวกับร้านชำนามิยะ เด็กหนุ่มดังกล่าวก็เหมือนเด็กหนุ่มคนอื่นๆที่มีความฝันเป็นของตัวเอง และหลายๆครั้งความฝันนั้นมักไม่ตรงกับสิ่งที่พ่อแม่คาดหวังไว้
.
เด็กหนุ่มคนนี้ฝันอยากเป็นนักดนตรีมืออาชีพ ในขณะที่พ่อแม่ของเขาเปิดร้านขายปลา และเมื่อพ่อแม่แก่ตัวลง ก็มักจะแอบหวังว่าลูกชายคนโตจะกลับมาสืบทอดกิจการ
.
ปัญหาที่เด็กหนุ่มเขียนมาหาคุณนามิยะจึงเป็นปัญหาคลาสสิคของคนแทบจะทุกรุ่น คือต้องเลือกระหว่างการสืบทอดกิจการเก่าแก่ของพ่อแม่ ที่อาจสืบทอดกันมาหลายต่อหลายรุ่น กับความฝันของตัวเองที่จะทำในสิ่งที่ตัวเองรักจริงๆ
.
สิ่งที่น่าสนใจคือ ตัวเด็กหนุ่มเองไม่ได้เก่งและมีพรสวรรค์ด้านดนตรีเหมือนคนทั่วๆไป นอกจากมันจะทำให้เขาลังเลระหว่างการเดินทางตามความฝันต่อแล้ว มันยังส่งผลต่อการตัดสินใจครั้งสำคัญของเขาอย่างมาก เพราะถ้าคนที่เอาดีในด้านใดด้านหนึ่งได้ ก็อาจตัดสินใจได้ง่ายขึ้นว่าควรจะเชื่อพ่อแม่ หรือทำตามความฝันของตัวเองต่อดี
.
ตอนนี้ยอมรับว่า ช่วงแรกปูเรื่องนาน และเรื่องดำเนินมาแบบเนิบๆตลอด แต่ก่อนจะจบบทก็เกิดการหักมุมเมื่อ คำตอบที่ได้จากร้านชำนามิยะไม่เป็นไปอย่างที่เด็กหนุ่มคิด และผลจากการตัดสินใจของเขาก็นำเขาไปสู่จุดที่คนอ่านคาดเดาไม่ได้เลยเช่นกัน
.
บทนี้มีความหนักของเนื้อหาพอสมควร เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับครอบครัว และการตัดสินใจที่อาจยากลำบากมากกว่าที่คนทั่วๆไปจะเจอ
.
รสชาติของตอนนี้ค่อนข้างขมขื่น แต่ข้อคิดที่ได้เมื่อจบตอนนั้นเรียกได้ว่ากินใจสุดๆ
.
.
ตอนที่ 3
ตอนนี้ หนังสือเล่าเรื่องราวตอนคุณนามิยะยังมีชีวิตอยู่ ความสัมพันธ์ของคุณนามิยะกับลูกชาย และเหตุผลที่ว่าทำไมคุณตาถึงลงทุนลงแรงเขียนตอบจดหมายทุกฉบับที่ถูกส่งเข้ามา
.
มันอาจเป็นพรอย่างหนึ่งซึ่งช่วยให้คุณตานามิยะมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น ในการได้รับหน้าที่เป็นที่ปรึกษาปัญหาชีวิตให้คนอื่นที่กำลังทุกข์ร้อนใจ มันเหมือนเป็นจุดมุ่งหมายหนึ่งของคุณนามิยะ
.
แกจึงใช้เวลาในการคิดคำตอบปัญหายากๆที่ไม่มีถูกผิดเหล่านั้นอยู่นาน บางทีนั่งคิดทั้งคืนก็มี แต่เพื่อให้ได้คำตอบที่สุดที่กลั่นมาจากใจจริงๆ ดแกก็ยอม
.
คุณนามิยะรู้ดีว่า คำตอบของตัวเองนั้นมีความหมายอย่างมากต่อผู้ที่ส่งจดหมายมา แม้อาจไม่ได้ทำตามคำแนะนำของคุณตานามิยะ แต่คำตอบของคุณนามิยะก็มักจะช่วยสะท้อนถึงสิ่งที่เจ้าของปัญหาคิด และช่วยให้เขาตกผลึกในคำตอบของปัญหาที่ตัวเขาต้องเผชิญ
.
แน่นอนว่าบทนี้ก็มีปัญหาสำคัญของหญิงสาวคนหนึ่ง ซึ่งเกิดความสับสนว่าตัวเองเกิดมาทำไม สาเหตุที่เธอเกิดมานั้นมันช่างยากเกินกว่าที่เธอจะรับได้ และเธอเองก็มองไม่เห็นคุณค่าของชีวิตตัวเอง
.
ตอนนี้ดูเหมือนเนื้อหาจะเบากว่าตอนอื่นๆ เพราะเป็นตอนเล่าพื้นหลังของคุณนามิยะมากกว่า แต่ได้อารมณ์ที่ซึ้ง และฟีลกู้ดพอสมควร
.
.
ตอนที่ 4
ตอนนี้หันไปเล่าเรื่องเด็กหนุ่มในวัยมัธยมต้นที่คลั่งไคล้วงดนตรีเดอะบีเทิลอย่างมาก เขาไปซื้อแผ่นซีดีของวงดังกล่าวเก็บเป็นคอลเลคชั่นไว้มากมาย แน่นอนว่าฐานะทางบ้านเขาดีระดึบหนึ่ง อยากได้อะไรต้องได้ แน่นอนว่าเขาอยู่ในละแวกบ้านเดียวกับร้านชำนามิยะ
.
แต่อยู่มาวันหนึ่ง ชีวิตก็ไม่เป็นไปดังที่ใจคิด เมื่อธุรกิจครอบครัวเกิดปัญหา ซึ่งสั่นสะเทือนไปถึงฐานะทางบ้านของเด็กหนุ่ม จนในที่สุดพ่อแม่ก็ยอมมาเปิดเผยความจริงกับเด็กหนุ่มว่าบ้านของเขาติดหนี้มหาศาล และธุรกิจครอบครัวกำลังจะล้มละลาย เขาจำเป็นต้นขายของทุกอย่างที่ไม่จำเป็น และหนีออกไปตั้งตัวที่อื่นสักพักเพื่อหลบหน้าเจ้าหนี้
.
ปมในตอนนี้ค่อนข้างหนักมาก และสะเทือนไปถึงอารมณ์ส่วนลึกของคนอ่าน เพราะไม่ใช่เพียงแค่ชีวิตของเด็กหนุ่มจากที่เคยมีกินมีใช้อยู่สบายมาตลอด เป็นต้องอยู่อย่างพอตัวหรืออาจเรียกว่าขัดสน และความสัมพันธ์ของเด็กหนุ่มกับพ่อแม่ที่ไม่สู้ดีนัก
.
เรียกได้ว่าดราม่าหนักๆไปเลยสำหรับตอนนี้ คำถามที่เด็กหนุ่มถามคุณนามิยะก็เกี่ยวข้องกับความเชื่อใจที่มีต่อพ่อแม่ และเรื่องสายสัมพันธ์ในครอบครัว
.
โดยการที่หนังสือหยิบวงเดอะบีเทิลเข้ามาเกี่ยวก็เพราะเป็นปมเดียวกันกับเรื่องสายสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในช่วงออกอัลบั้มสุดท้าย
.
ยอมรับว่าตอนจบคือหักมุมยิ่งกว่าหักมุม และไม่มีทางคาดเดาเรื่องราวได้เลย เป็นตอนที่สะเทือนอารมณ์มากที่สุดและอาจเรียกน้ำตาให้ผู้อ่านที่อ่อนไหวได้
.
แต่ก็ให้ข้อคิดดีๆทิ้งไว้พร้อมกับอารมณ์ที่ชวนหดหู่ที่สะสมมาตลอดทั้งตอน
.
.
ตอนที่ 5
ตอนสุดท้ายที่ดูจะเป็นเหมือนบทสรุปของหนังสือเล่มนี้ แต่ก็เป็นการเล่าสลับไปมาระหว่างอดีตกับปัจจุบัน ผ่านเรื่องราวของเด็กสาวคนหนึ่งที่ต้องทำงานหนักทั้งกลางวัน-กลางคืน เพื่อหาเลี้ยงครอบครัวและตอบแทนบุญคุณผู้อุปการะ
.
เนื่องจากงานกลางวันของเด็กสาวในบริษัทไม่สู้ดีเท่าไหร่ คือเธอต้องไปเป็นเบ๋ให้กับพนักงานคนอื่นๆ และได้ค่าตอบแทนที่น้อยมาก เธอจึงไปทำงานกลางคืนเป็นสาวนั่งดริ้งค์ในบาร์ต่างๆ
.
พอหนังสือตัดสลับกลับมาที่โจรทั้ง 3 คนที่กำลังให้คำปรึกษาเด็กสาวอยู่ จึงเป็นอะไรที่เห็นชัดเจนมากว่า เขาทั้ง 3 คนไม่เห็นด้วยกับการทำงานนั่งดริ้งของเด็กสาว และให้คำแนะนำต่างๆมากมายไป
.
เรื่องน่าสนใจอยู่ที่พัฒนาการในตัวเด็กสาวหลังจากได้รับคำแนะนำจากฌโจรทั้ง 3 ที่ดูช่วยให้เธอก้าวหน้าทั้งในอาชีพการงานและฐานะทางการเงินอย่างมาก
.
จนสุดท้ายแล้วหนังสือก็มาคลี่ปมทั้งหมดของเด็กสาวคนนี้ในตอนจบ และเป็นการคลี่ปมของโจรทั้ง 3 คนไปในตัว เพราะพอถึงรุ่งสาง พวกเขาก็เดินออกจากร้านชำนามิยะไป และเวทมนต์ของร้านชำดังกล่าวก็สิ้นสุดลง
.
.
.
โดยรวมแล้วหนังสือคือดีมากจริงๆครับ สำนวนภาษาเป๊ะมาก อ่านไม่ยาก มีความทันสมัย และอินได้กับบริบทที่หนังสือใช้ ไม่ได้ใส่ความเป็นญี่ปุ่นเข้ามามากจนเกินไป
.
ข้อคิดสั้นๆ 7 ข้อที่อยากฝากไว้หลังอ่านหนังสือเล่มนี้นะครับ
คำเตือน ข้อคิดอาจมีสปอยยยยยยแรงๆๆแฝงอยู่****
.
1) บางครั้ง ผลลัพธ์ของการตัดสินใจก็ไม่ได้เป็นไปตามที่เราคาดหวังทั้งหมด แม้จะรู้อยู่แล้วว่าเส้นทางที่เราเลือกมันเสี่ยงมาก และอาจทำให้เราต้องสูญเสียสิ่งสำคัญบางอย่างในชีวิตไป แต่เราไม่ควรมองมันว่า มันเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด เราควรจะยอมรับและเคารพตัวเองที่ ณ เวลาที่เราตัดสินใจ เราได้คิดพิจารณาทุกปัจจัยอย่างดีที่สุดแล้ว
.
2) คำปรึกษาอาจไม่ได้ช่วยให้เราได้คำตอบที่เราต้องการ และมันก็อาจไม่ได้ช่วยยืนในสิ่งที่เราคิดจริงๆ แต่การที่เรารู้ว่ามีอีกคนหนึ่งที่รับฟังเราอยู่ก็อาจช่วยปลอบประโลมใจ และทำให้เราเข้าใจว่า สุดท้ายแล้วไม่ว่าผลจะออกมาเป็นยังไง มันก็คือตัวเราเองที่ตัดสินใจ และต้องยอมรับในสิ่งที่เกิดเหล่านั้น
.
3) คนบางคนที่ตัดสินใจเดินตามความฝัน อาจไม่จำเป็นต้องพบกับความสำเร็จเสมอไป มันเป็นไปได้มากที่หลายๆคนไม่ได้เกิดมาเพื่อทำอะไรที่ยิ่งใหญ่ บางคนเดินตามความฝันของตัวเองไม่สำเร็จ และอาจเสียใจกับสิ่งที่ต้องสูญเสียไปถ้าตัวเองไม่เลือกเส้นทางนี้ และเชื่อตามคำแนะนำของพ่อแม่ (หรือคนอื่นๆ) แต่ชีวิตจริงก็เป็นแบบนี้ ถ้าเรามองชีวิตดีๆแล้ว เหตุผลที่เราเกิดมาอาจไม่ใช่เพื่อทำตามฝันของตัวเอง แต่อาจเป็นแค่การให้แรงบันดาลใจต่อคนอื่นในการสานฝันของพวกเขาก็เป็นได้
.
4) คุณค่าของชีวิตเราอาจมีมากกว่าที่เราคิดแบบผิวเผิน บางคนอาจคิดว่าตัวเองไม่สมควรที่จะเกิดมา แต่แท้จริงแล้วเราไม่มีทางรู้เลยว่า ศักยภาพที่แท้จริงของเรามีอะไรบ้าง และชีวิตอาจจะพาเราไปจุดไหนได้บ้าง เราจึงต้องปรับกรอบความคิด และเชื่อมั่นว่าของขวัญที่ดีที่สุดที่เราได้รับ คือการเกิดมาลองใช้ชีวิตบนโลกใบนี้ดู
.
5) การตัดสินใจเลือกเมื่อเจอทางแยกแต่ละครั้งทำให้เราไม่รู้ว่าถ้าเราเลือกอีกทางเลือกหนึ่งชีวิตของเราจะเป็นยังไง มันอาจแตกต่างมากจนเราจินตนาการแทบไม่ออก บางครั้งเราก็อาจคิดว่าเราตัดสินใจถูกเมื่อมองดูผลลัพธ์ของคนอื่นที่ล้มเหลวเมื่อเลือกเดินในอีกเส้นทางที่เราปฎิเสธ แต่แท้จริงแล้วไม่มีใครรู้จริงๆว่า ถ้าเราเลือกไปในทางที่เราปฏิเสธนั้น เราจะสร้างแรงกระเพื่อมอะไรให้ผลลัพธ์นั้นได้บ้าง เราอาจเปลี่ยนผลลัพธ์ไปเลยก็ว่าได้ แต่ในเมื่อเราเลือกชีวิตได้แค่ทางเดียวก็จงยอมรับในการตัดสินใจของตัวเองซะ
.
6) คำแนะนำของเราอาจเปลี่ยนชีวิตคนได้จริงๆ แน่นอนว่าในชีวิตจริง เราไม่อาจหยั่งรู้เหตุการณ์และสภาพแวดล้อมในอนาคต และไม่อาจหาคำแนะนำจากอนาคตได้ แต่เราต้องเชื่อมั่นว่าคำแนะนำของเราส่งผลต่อคนอื่นได้จริงๆ และตั้งใจให้คำแนะนำอย่างสุดความสามารถ
.
7) ชีวิตคนเราเหมือนกระดาษเปล่า เราสามารถแต่งเติมมันออกมายังไงก็ได้ เรามีโอกาสในการแต่งตัวลอยอยู่นับไม่ถ้วน เราจึงควรจะออกไปใช้ชีวิตและคว้าโอกาสเหล่านั้น มาสร้างกระดาษเปล่าให้สีสันสวยงามและเป็นชีวิตที่ดีงาม
.
.
.
.
สั่งซื้อหนังสือได้ที่
.
.
........................................................................................................................................
ผู้เขียน: ฮิงาชิโนะ เคโงะ
ผู้แปล: กนกวรรณ เกตุชัยมาศ
จำนวนหน้า: 512 หน้า
สำนักพิมพ์: น้ำพุ, สนพ.
ชื่อเรื่องต้นฉบับ: Namiya zakkaten no kiseki
........................................................................................................................................
.
.
Comments