รีวิว นี่เราใช้ชีวิตยากเกินไปหรือเปล่านะ
.
(1)
เป็นหนังสือที่ปลดปล่อยด้านดาร์คในตัวเราออกมาเรียงเป็นบทความสั้นๆ จบในตอน ขนาดพอดีคำ อ่านจบโลกๆจะทึมๆหน่อย แต่มันเป็นอะไรที่จริงมากสำหรับโลกปัจจุบัน
.
แม้เนื้อหาหลักจะเป็นมุมดาร์ค แต่ด้วยความที่หนังสือมีมุกสอดแทรกตลอดเล่ม อ่านแล้วสนุก บางทีก็เออออไปกับที่ผู้เขียนเขียน
.
.
(2)
สิ่งที่แตกต่างจากหนังสือเล่มอื่นๆโดยทั่วไปคือ อ่านเล่มนี้จบแล้ว ไม่รู้จะนำไปใช้พัฒนาตัวเองยังไง หนังสือไม่ได้เป็นหนังสือ howto ที่บอกขั้นตอนหนึ่ง-สอง-สาม-สี่-ห้า ให้หยิบไปใช้ได้ทันที และก็ไม่ได้เป็นหนังสือให้กำลังใจ ให้พลังบวก ให้ความรู้สึกอยากจะออกไปใช้ชีวิตวันพรุ่งนี้ต่อ
.
ตรงกันข้าม หนังสือเล่มนี้ตั้งคำถามกับการใช้ชีวิตอันยากลำบาก ชีวิตที่ต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการไต่เต้าขึ้นไปแสวงหาจุดที่เหนือว่า.....บางที มันเหนื่อย และเราเองก็ไม่ได้อยากจะใช้ชีวิตให้มันยากแบบนั้น
.
แล้วทำไมเราถึงทำชีวิตมันให้ยากด้วยละ ทำไมเราต้องอยากสอบเข้ามหาลัยดีๆ ทำไมเราต้องอยากได้งานที่บริษัทใหญ่ ทำไมเราต้องหาเงินให้ได้มากๆ ทำไมเราต้องหาคู่ครอง สร้างครอบครัวกันช่วง 30 กว่า...ทั้งหมดนี้มันเหมือนคู่มือชีวิตที่มีคนเขียนไว้ แล้วก็บังคับให้เราใช้ชีวิตไปตามคู่มือแบบนั้นละ
.
.
(3)
คนเขียนเป็นคนที่ติดใช้ชีวิตสบายๆ อยากแสวงหาความสุขในการใช้ชีวิตแต่ละวัน ไม่ชอบทำงานหนัก ไม่ได้อยากลำบาก แต่เพราะแรงกดดันต่างๆ ชีวิตของเขาก็เลยยาก
.
ข้างบนนี้อาจจะมาจากที่ผมตีความเอง แต่ผมเชื่อว่าลึกๆแล้วทุกคนก็คงอยากจะเป็นอย่างงั้น ไม่ใช่ไม่อยากทำงานนะ แต่อยากใช้ชีวิตสบายๆ ไม่ต้งเครียดกับเงิน ทำงานเรื่อยๆ มีเงินใช้พอดีๆ ไม่ต้องเครียดเรื่องเงิน ไม่ต้องกดดันตัวเอง ไม่ต้องเข่นความพยายามออกมามากนัก เพื่อจะได้ชีวิตที่ดี
.
ผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น ด้วยระบบโครงสร้างทางสังคมหลายๆอย่าง มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่ต้องใช้ความพยายามและมีชีวิตความเป็นอยู่ที่สบายๆ ไม่เดือดร้อน แน่นอนว่าชีวิตสบายๆของแต่ละคนคงไม่เหมือนกัน แต่ถ้าเอาแบบทั่วๆไปก็คือมีข้าวกินทุกมื้อ มีที่อยู่อาศัยนอนหลับสบาย มีเงินในบัญชีมากพอที่จะไม่ต้องพะว้าพะวงค์กับตัวเลขเงินฝาก ซี่งถ้าไม่เค้นตัวเองให้ได้เรียนดีๆ ให้ได้งานดีๆทำก็คงไม่มีทางได้ใช้ชีวิตสบายๆในแบบที่ต้องการ ยกเว้นว่าจะเกิดมาในครอบครัวที่ร่ำรวย มีมรดกก้อนโตกองรอให้บริหารอยู่หน้าบ้าน
.
.
(4)
หนังสือขยี้คำถามลึกๆที่ตัวผมเองก็เคยคิดไว้มากมายหลายคำถาม
เราพยายามไปทำไมเยอะแยะ?
ทำไมเราถึงมีชีวิตสบายๆไม่ได้โดยไม่พยายาม?
ทำไมเราต้องเค้นหา passion หรือความชอบในการทำงานอะไรสักอย่าง ทั้งๆมที่จริงๆ เราก็แค่อยากสบาย อยากทำงานของเราสลับกับเที่ยวเล่นก็เท่านั้น? แนวคิดการตามหา passion ทำไมมันตามหลอกหลอนเราไปได้ทุกที่?
ทำไมเราต้องศึกษาเรื่องลงทุน? มันจะเป็นไปไม่ได้เหรอที่แค่ใช้ชีวิตเรื่อยๆ เงินฝากเราก้พอประทังให้เราใช้ชีวิตแบบสบายๆไปได้ทั้งชีวิต
ทำไมเราต้องอยากออกมาเปิดธุรกิจ? เพราะทำตามคนอื่นเหรอ? เพราะเกลียดการอยู่ในกรงขังงานบริษัทมากเลยออกมา แต่พอคนถามก็ต้องตอบว่ามันคือ passion ที่อยากทำ?
ผมเองมีคำถามดาร์คๆเหล่านี้ไว้ในใจลึกๆ และอยากจะโทษแรงๆต่อโลกใบนี้ว่า เพราะระบบต่างๆของโลกทำให้คนที่อยากมีชีวิตสบายๆคนนึง ต้องกดดันตัวเอง ต้องฝืนหา passion และเอาออกมาโชว์ ทั้งๆที่ไม่ได้มีความอยากทำงานอะไรแบบนั้นสักอย่าง ต้องศึกษาเรื่องลงทุน ต้องหาจุดขายของธุรกิจ ต้องทำทุกอย่างให้ตัวเองดูใช้ความพยายาม
.
หลอกตัวเอง หลอกคนอื่น แต่ก็พูดออกไปตรงๆไม่ได้ เพราะโลกมีที่ให้แค่คนที่พยายามเท่านั้น
.
หนังสือเล่มนี้พูดแทนผมทั้งหมด เอาด้านมืดในใจคนหลายคนมาตีแผ่ ไม่คนมีคนกล้าพูดเยอะหรอกครับ เพราะอย่างที่บอก โลกไม่ได้ต้องการคนแบบนี้ โลกที่เต็มไปด้วยการแข่งขันต้องการเพียงแต่คนที่มีความพยายาม
.
.
(5)
ถ้าถามว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้เกิดความคิดดาร์คๆ ต่อว่าระบบ ต่อว่าโลกใบนี้แบบที่คนเขียนเป็น ผมก็คิดว่า คงจะเป็นอดีตของเขานั่นแหละครับ
.
คุณฮาวันเล่าอย่างชัดเจนว่า เขาเกิดในครอบครัวที่ยากจน มีชีวิตวัยเด็กที่ลำบาก พอโตขึ้นมาก็อยากจะสอบเข้ามหาลัยดีๆ เขาสนใจศิลปะ และมหาลัยศิลปะที่โด่งดังและเป็นที่ยอมรับในเกาหลีใต้ก็มีอยู่แค่ที่เดียว การแข่งขันจึงสูงมาก และการลองสอบครั้งแรกของเขาก็เฟล เขาลองสอบใหม่อีกครั้งในปีถัดไป ครั้งที่ 2 ก็เฟล ครั้งที่ 3 ก็เฟล...แต่โชคยังดีที่เขามาสอบติดในครั้งที่ 4
.
ระหว่างที่เรียนมหาลัย คุณฮาวันก็รับจ๊อบเป็นติวเตอร์สอนศิลปะเด็กมัธยมติวสอบเข้ามหาลัยเพื่อหาเงินไปจ่ายค่าเทอม แต่พอเรียนจบก็ไม่รู้จะทำงานอะไร จนใช้ชีวิตลุ่มๆดอนๆไปอีก 3 ปีจนตังค์ในบัญชีจะหมดจึงค่อยตั้งหน้าตั้งตาไปหางานประจำในบริษัท พอมารวมกับเวลาอีก 2-3 ปีที่ต้องไปเกณฑ์ทหารแล้ว กว่าคุณฮาวันเริ่มชีวิตการทำงานก็อายุ 30 นิดๆแล้ว
.
เรียกได้ว่าเริ่มใช้ชีวิตทำงานจริงๆช้ามากเมื่อเทียบกับมาตรฐานสังคมโดยทั่วๆไป แต่คุณฮาวันก็บอกว่าบางทีเราใช้ชีวิตช้าๆบ้างก็ได้ เราจะเร่งรีบและเปรียบเทียบกับเพื่อนคนอื่นไปทำไมให้มันเครียดเปล่าๆ
.
และที่มากไปกว่านั้นคือ เขาลาออกตอนอายุเกือบๆ 40 ปี เขาทำงานประจำแค่ 6-7 ปีเท่านั้น แต่ก็เรียกได้ว่าเงื่อนไขของชีวิตผลักดันให้เขาต้องใช้ความพยายามกับชีวิตมากในระดับนึง จนสุดท้ายก็ปลดปล่อยความรู้สึกจริงๆ ออกมาตามที่เขียนในหนังสือเล่มนี้
.
.
(6)
มีอีกประเด็นหนึ่งที่ผมอยากจากเนื้อหาในหนังสือ
ทำงานประจำ คือ การเอาเวลาไปแลกเงิน
ทำงานอิสระ คือ การเอาเงินไปแลกเวลา
.
พูดง่ายๆก็คือทำงานบริษัท ได้เงินดี มีเงินเก็บ แต่ไม่มีอิสระ จะมีหรือไม่มีงานก็ต้องโผล่หน้าไปที่ทำงาน เดินทางเหนื่อยๆ กลับมาก็เย็น ดูทีวีไร้สาระแปปเดียวก็หมดวันแล้ว
.
พอคุณฮาวันซึ่งได้ลองใช้ชีวิตทั้งสองแบบ ออกมาทำงสานอิสระ มีเวลาทำทุกอย่างตามต้องการ แต่งานอิสระ ซึ่งก็คืองานวาดภาพประกอบมาน้อย เงินก็มาน้อย เงินในบัญชีก็มีแต่ลดลงเรื่อยๆ ชีวิตก็ลำบากอยู่ดี
.
ถ้าเป็นหนังสือเล่มอื่น คงจะแก้ปัญหาด้วยคำง่ายๆว่า ‘ทำงานที่ตัวเองชอบ ทำงานที่ตัวเองมี passion สิ’ จะได้ทั้งเงินและเวลาคืนมาเป็นของตัวเอง
.
แต่นั่นแหละครับ เราก็จะกลับมาที่เนื้อความหลักของหนังสือเล่มนี้ ถ้าเราไม่มี passion ละ ถ้าเราแค่ชอบใช้ชีวิตเรื่อยๆ ไม่ต้องทำงานหนัก ไม่ต้องลำบากละ ไอวิธีแก้ปัญหาสุดเกร่อ ที่เสนอกันโดย Steve Jobs, คุณเอ๋นิ้วกลม หรือหนังสือเพิ่มพลังชีวิตเล่มอื่นๆอีกมากมายก็คงจะโดนตีตกไป
.
ใช่ครับ เพราะระบบทุนนิยมที่ถูกสร้างขึ้นมา เราเลยต้องยอมแลกเงินกับเวลา หรือไม่ก็ปั้น passion ขึ้นมาสวมใส่ไว้และบอกคนอื่นไปว่าแก้ปัญหา trade-off ระหว่างเงินกับเวลาได้แล้ว
.
.
(7)
เคยเจอคนประเภท ไม่อยากทำอะไรทั้งวันเลยมั้ย?
เคยเจอคนประเภท ไม่อยากควบคุมตัวเองมั้ย?
.
คุณฮาวันผู้เขียนเป็นคนทั้งสองประเภทนั้น
.
รูปวาดของคุณฮาวันที่ผมจำได้ดีคือ รูปการ์ตูนสี่ช่องของคนนั่งเฉยๆตั้งแต่ 9.00 am, 2.00pm, 7.00pm และ 11.00pm แต่รูปสุดท้ายตอนห้าทุ่มคือคนที่มีแบตเตอรี่พลังงานเต็ม
.
นั่นแหละครับในช่วงเวลาบางช่วงของเรา เราก็นั่งโง่ๆเฉยๆทั้งวัน ไม่ต้องคิดอะไร ไม่ต้องคอยถูกกดดันให้เพิ่มประสิทธิภาพในการใช้เวลา ไม่ต้องมานั่งพะว้าพะวังกับการใช้เศษเวลา 5 นาทีที่เหลือมาพัฒนาตัวเอง ยอมรับบ้างก็ได้ว่าเราอยากใช้ชีวิตสบายๆบ้าง
.
และคุณฮาวันก็ยังเป็นคนที่บางครั้ง ไม่อยากต้องคอบควบคุมตัวเองตลอดเวลา อ่านแล้วอาจดูตลกที่เวลาซื้อสินค้าออนไลน์ เราจะกดเลือกสินค้าเข้าตะกร้า รวมไว้ก่อน แล้วจึงค่อยชำระเงิน คุณฮาวันมักจะเลือกสินค้าจนเต็มตะกร้า และใช้เงินไปอย่างฟุ่มเฟือยเพราะว่าเบื่อกับการต้องมาทำงานบริษัท แน่นอนว่าพอเข้าออกมาจากงานประจำ อาการช๊อปปิ้งออนไลน์แบบโคตรฟุ่มเฟือยก็หายไป
.
ประเด็นคือคุณฮาวันไม่อยากต้องมานั่งคุมตัวเองเลย อยากให้สินค้าที่ตัวเองต้องการหมดสต๊อคไป จะได้กดสั่งซื้อไม่ได้
.
แน่นอนว่าผมเองก็เป็นแบบนั้น และเชื่อว่าหลายๆคนก็เป็น มันง่ายกว่ามากที่เราจะไม่ต้องควบคุมตัวเอง และให้โชคชะตา หรือสิ่งอื่นมากำหนดเราให้ได้ในสิ่งดีๆ แต่ก็นั่นแหละครับ โลกความเป็นจริงมักจะไม่ง่ายอย่างที่คิด ตัวช่วยเหล่านั้นไม่ได้มากันบ่อยๆ และเราก็ต้องฝึกควบคุมตัวเองอยู่เสมอๆ
(8)
แล้วเรานำอะไรไปใช้ได้บ้างหลังอ่านจบ
.
ผมคิดว่าประเด็นสำคัญเลย คือการเข้าใจและยอมรับตัวเอง มันต้องใชความกล้าไม่ใช่น้อยในการยอมรับว่า ตัวเองไม่ใช่คนไฟแรง ไม่ใช่คนเปี่ยม passion เป็นแค่คนธรรมดาที่อยากสบาย แต่ถูกโลกการแข่งขันในระบอบทุนนิยมผลักให้เค้นความพยายามออกมามากเหลือเกิน
.
จริงๆแล้วนอกจากเรื่องด้านบน เราอาจทำอะไรอย่างอื่นไม่ได้เลยด้วยซ้ำ จะเปลี่ยนโลกคงจะดูยาก ตราบเท่าที่มนุษย์ยังมีจำนวนมหาศาล และทรัพยากรบนโลกยังมีอยู่อย่างจำกัด การผลักดันตัวเองให้ขึ้นไปอยู่บนที่สูงๆเพื่อแลกกับชีวิตที่สบายๆก็จะยังคงดำเนินต่อไป
.
สิ่งเดียวที่ทำได้ อาจจะเป็นแค่การระบาย การส่งเสียง และทำให้คนอื่นรู้ว่า เขาไม่ได้เกลียดโลกใบนี้อยู่คนเดียว
.
.
(9)
กล่าวสั้นๆโดยสรุป นี่เป็นหนังสือที่ฉีกกฎหนังสือพัฒนาตัวเอง ที่เน้นเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน เอาเศษเวลา 5 นาทีมาอ่านหนังสือพัฒนาตัวเอง เอาสูตรความสำเร็จมาใช้ด้วยการทำงานด้วย passion หรือหนังสือโลกสวย ที่ชี้ให้เห็นถึงด้านสวยๆงามของชีวิต
.
หนังสือเล่มนี้คือด้านมืดของคนเรา ที่ real มาก และเอาปัญหาของคนวัยทำงานในโลกปัจจุบันมาเล่าได้สนุกมาก
.
เพราะจริงๆแล้ว เราทุกๆคนอาจจะใช้ชีวิตยากเกินไปอยู่ก็ได้นะ
.
.
................................................................................................
ผู้เขียน: Ha Wan (ฮาวัน)
ผู้แปล: ตรองสิริ ทองคำใส
สำนักพิมพ์: springbooks
เดือนปีที่พิมพ์: 1/2021
จำนวหน้า: 280 หน้า
.....................................................................................................
.
สั่งซื้อหนังสือได้ที่
.
.
.
コメント