รีวิว โตขึ้นมาเป็นความสุข
.
‘ตอนเด็กเรามีความฝันมากมาย แต่พอโตขึ้นมา คำตอบที่อยู่เบื้องหลังทุกความฝันคือ เราอยากโตขึ้นมาเป็นคนมีความสุข’
.
โตขึ้นมาเป็นความสุข เป็นหนังสือของคุณคิดมาก สุดยอดหนังเขียนขายดีในหมวดหนังสือให้กำลังใจและสร้างแรงบันดาลใจ
.
เล่มนี้ต่างจากเล่มก่อน ๆ ตรงที่ว่า เล่มนี้เป็นความเรียงขนาดย่อมของคุณคิดมาก แทนที่จะเป็น quote สั้น ๆ เหมือนเล่มก่อน ๆ
แต่ธีมหลักของหนังสือยังคงเป็นบทความสั้น ๆ ที่อ่านแล้วได้ข้อคิด ได้พลังบวก
ส่วนตัวคิดว่าคุณคิดมากทำหน้าที่ตรงนี้ออกมาได้ดีมาก ๆ
.
ต่างจากหนังสือแปลหลาย ๆ เล่ม ที่อาจมีจุดประสงค์ตรงกัน คือการสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้อ่าน
แต่มีการเล่าเรื่อง มีการอ้างอิงงานวิจัย และมีการสาธยายความรู้สึกกันแบบยืดยาว
หนังสือเล่มนี้ เป็นบทความขนาดกะทัดรัด ขมวดประเด็นจบได้รวดเร็ว ตรงประเด็น
แต่ทำหน้าที่ได้ไม่ต่างกัน
.
ในโลกที่คนเรามีเวลาว่างน้อย
การต้องอ่านเนื้อเรื่องยาว ๆ แล้วมาจับใจความเองก็คงจะเหนื่อยเกินไป
การอ่านบทความสั้น ๆ ที่ให้แรงบันดาลใจได้ อาจเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า
และผมคิดว่า หนังสือเล่มนี้ของคุณคิดมาก ทำหน้าที่ตรงนี้ได้ดีมาก
.
การที่เปลี่ยนจากรวม quote เป็นสไตล์บทความสั้น ๆ มีเนื้อเรื่องนิดหน่อย
เป็นการพาผู้อ่านไปเจอบริบทของเรื่องราวนั้น ๆ ก่อนจะพาไปเจออารมณ์อันหลากหลายจากบทสรุปของบทความ
.
สรุปแล้ว เล่มนี้เป็นส่วนผสมที่ลงตัวมาก
โดยเฉพาะคนที่ไม่ชอบอ่านอะไรยืดยาว
.
เนื้อเรื่องในเล่มครอบคลุมเนื้อหาในหมวดต่าง ๆ ตั้งแต่ เรื่องความรัก พ่อแม่ การเติบโตเป็นผู้ใหญ่ การทำงาน ความสัมพันธ์กับคนอื่น
แต่ละเรื่องให้ข้อคิดออกมาน่าสนใจมาก
ยังไง ต้องลองไปหาซื้อมาอ่านดูนะครับ
.
สุดท้าย ผมขอเลือก 5 เรื่องที่ผมชอบจากหนังสือ โตขึ้นมาเป็นความสุข มาเล่าให้ฟังกันครับ
.
1) สิ่งที่ต่างกันระหว่าง การได้เลือกชีวิตตัวเอง กับ การยอมให้คนอื่นเลือกชีวิตให้
หลายคนคงอาจสงสัยว่า เราควรเลือกเส้นทางชีวิตตามที่ตัวเองต้องการหรือไม่
ในเมื่อหลาย ๆ ครั้ง เส้นทางที่คนอื่นเลือกให้เราเป็นเส้นทางที่ดีกว่า
.
ไม่ว่าการเลือกนั้นจะมาจากการยินยอมให้คนอื่นเลือกให้ด้วยความเต็มใจของเราเอง
หรือ การถูกบังคับให้เลือกก็ตาม
.
สิ่งที่ต่างกันจริง ๆ อาจเป็น ‘ความรู้สึกค้างคา’
เราจะยังค้างคาใจเสมอ
ถ้าวันนั้นเราเลือกตามที่ใจตัวเองบอกแล้ว มันจะเป็นอย่างไร
.
และในความเป็นจริงแล้ว ก็ใช่ว่าการที่คนอื่นเลือกสิ่งที่ดีกว่าให้เราได้ครั้งหนึ่ง
มันจะต้องเป็นอย่างงั้น ในครั้งต่อ ๆ ไปด้วย
.
สุดท้ายแล้ว คนที่ต้องอยู่กับทางเลือกนั้น ก็คือตัวเราเองอยู่ดี
เราคือคนที่ต้องเผชิญกับผลจากทางเลือกนั้นทั้งหมด
และเราคือผู้รับผิดชอบต่อชีวิตของเราเอง
.
เพราะฉะนั้นแล้ว
เรื่องราวชีวิตของเราเป็นเรื่องราวของเราเอง
เราต้องรับผิดชอบ และอยู่กับมันให้ได้
เราจึงควรทำตัวเองให้แน่ใจว่า ‘ชีวิตเป็นแบบที่เราเลือกเองเสมอ’
.
.
2) เพื่อนที่ไม่ใช่แค่ ‘ผู้คน’
ยิ่งโตขึ้น เพื่อนที่เราสนิทก็ยิ่งมีจำนวนน้อยลงเรื่อย ๆ
และส่วนใหญ่อาจเป็นเพื่อนมาตั้งแต่สมัยมัธยม หรือมหาลัย
เพื่อนในที่ทำงาน เป็นกลุ่มที่หลาย ๆ ครั้งยากที่จะสนิทด้วยได้
.
แต่เราต้องย้อนกลับมามองก่อนว่า
ในวัยผู้ใหญ่นั้น เพื่อนคืออะไรกันแน่?
.
ถ้าเรามองว่าเพื่อน คือสิ่งที่มอบความสุขให้เราได้
เพื่อน คือสิ่งที่ทำให้เราเติบโตทั้งทางจิตใจและความคิด
เพื่อนที่ว่านี้อาจไม่จำเป็นต้องเป็นเพียง ‘ผู้คน’
.
เพื่อนเราอาจเป็น สัตว์เลี้ยง ที่อยู่กับเรา
อาจเป็น หนังสือ ที่เราชอบอ่าน
อาจเป็น ภาพยนตร์ ที่เราชอบดู
อาจเป็น ดนตรี ที่เราชอบฟัง
อาจเป็น ต้นไม้ ที่เราอยู่ด้วยแล้วสดชื่น
หรืออะไรก็แล้วแต่ที่ช่วยกล่อมเกลาจิตใจของเรา
.
ถ้าวันใดที่เรารู้สึกเหงา เพราะรู้สึกไม่มีใคร
จงลองมองรอบตัว และสำรวจดูสิ่งอื่นที่อาจเป็นเพื่อนกับเราได้เหมือนกัน
.
.
3) มีส่วนหนึ่งของพ่อแม่อยู่ในตัวเราเสมอ
เมื่อเราโตขึ้น เราก็ค่อย ๆ ออกห่างจากพ่อแม่มากขึ้นเรื่อย ๆ
แม้ตอนเด็ก เราจะติดพ่อแม่มากแค่ไหน
โตขึ้น เราก็จะเริ่มไปติดคนอื่นแทน
ไม่ว่าจะเป็น เพื่อน
คนรัก
การงาน
ความสำเร็จ
.
สิ่งเหล่านั้นล้วนดึงดูดให้เราออกห่างจากพ่อแม่
ด้วยความตั้งใจ หรือไม่ตั้งใจก็ตาม
.
แน่นอนว่าชีวิตเป็นของเรา
และเมื่อเราเป็นผู้ใหญ่แล้ว เราก็อาจรู้สึกหงุดหงิดใจที่พ่อแม่ยังมองว่าเรายังเป็นเด็ก
ความห่วงใยจากพ่อแม่ หลาย ๆ ครั้งก็อาจสร้างความรำคาญให้เราได้
.
ที่จริงแล้ว เราไม่จำเป็นต้องทำตามทุกอย่างที่พ่อแม่บอกให้เราทำ
แต่เราควรเปิดใจ รับฟัง
และไม่เอาตัวออกห่างพ่อแม่มากจนเกินไป
.
เพราะในความจริงแล้ว เราเติบโตมาได้ด้วยฝีมือของท่านทั้งสอง
และคงไม่มีใครเถียงว่า ‘มีส่วนใดส่วนหนึ่งของพ่อแม่อยู่ในตัวเราเสมอ’
.
.
4) หาเรื่องเล็ก ๆ ที่ทำให้เรามีความสุขได้บ้าง
เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ ความสุขของเราก็เปลี่ยนรูปแบบไป
ตอนเด็ก แค่ได้กินไอติมอร่อย ๆ สักแท่ง เราก็คงมีความสุขมากแล้ว
แต่พอเป็นผู้ใหญ่ ความสุขของเรามักถูกนำไปผูกกับชื่อเสียง เงินทอง ความสำเร็จ
หรือเงื่อนไขของเหตุการณ์ในอนาคตที่ยังไม่เกิดขึ้น
.
เรามักอยู่ด้วยความเชื่อที่ว่า ถ้าเรื่องเหล่านั้นเกิดขึ้น
เราจะมีความสุขอย่างแน่นอน
.
มันคือการเอาความสุขของตัวเองไปผูกไว้กับเรื่องไกลตัว
ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีชื่อเสียงได้ในทุกวัน
ไม่ใช่ทุกคนที่จะหาเงินทองมากมายได้ในทุกวัน
ไม่ใช่ทุกคนที่จะประสบความสำเร็จได้ในทุกวัน
.
แน่นอนว่า การมีฝันขนาดใหญ่ ย่อมเป็นสิ่งที่ดี
แต่อย่างน้อย
เราควรมีเรื่องราว เล็ก ๆ น้อย ๆ
ให้เรามีความสุข และยิ้มได้ในทุกวันบ้าง
.
ลองเริ่มจากการหาไอติมอร่อย ๆ ให้ตัวเองกินวันละแท่งดูก็ได้นะครับ
.
.
5) ความสุขจากการเป็นผู้ให้ มากกว่า จากการเป็นผู้รับ
ตอนเด็ก ๆ เราคงจะมีความสุขจากการเป็นผู้รับ
แต่พอโตขึ้นมา
เราอาจได้ค้นพบว่า การให้นั้น ทำให้เราพบเจอความสุขได้มากกว่าหลายเท่านัก
.
เหตุผลข้อที่ 1
พอโตเป็นผู้ใหญ่ เราไม่มีวันรู้ว่า เราจะได้รับอย่างที่ต้องการไหม
ไม่ว่าจะเป็น เงินเดือน ของขวัญจากคนรัก ชื่อเสียง
และบ่อยครั้ง การต้องรอนาน ๆ หรือความผิดหวังกลับกลายเป็น ความทุกข์ใจเสียเอง
.
แตกต่างจากการให้ ที่เราสามารถให้ได้ทุกเมื่อ
เราให้ทุกคนได้ทุกเวลา
ไม่ต้องคาดหวังอะไร ไม่ต้องร้องขอใคร
และไม่จำเป็นต้องเป็นการให้สิ่งที่ยิ่งใหญ่
แค่มอบรอยยิ้มให้กันทุกวัน ก็นับว่าเป็นการให้แล้ว
.
เหตุผลข้อที่ 2
การให้ เป็นการสะท้อนคุณค่าในตัวเราได้มากกว่าการรับ
เราทุกคนล้วนอยากทำตัวมีค่า ต่อบางคน หรือบางอย่าง
การให้ คือวิธีทำให้เรารู้สึกมีค่า มีความหมาย และภูมิใจในตัวเอง
.
แน่นอนว่า ไม่ใช่ว่าเราต้องทำตัวเป็นผู้ให้อย่างเดียว
สิ่งสวยงามคือ การที่เรารู้จักเป็นทั้งผู้ให้ และผู้รับกับคนอื่น ๆ ทุก ๆ คน
.
.
.................................................................................
ผู้เขียน: คิดมาก
จำนวนหน้า: 192 หน้า
สำนักพิมพ์: springbooks
เดือนปีที่พิมพ์: 2020
.................................................................................
.
.
สั่งซื้อหนังสือได้ที่
.
.
Comments